เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด (“ร่างพระราชบัญญัติฯ”) ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญทางกฎหมายของประเทศไทยในความพยายามบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นPM 2.5 ซึ่งได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา มลพิษทางอากาศได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ รวมถึงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประเมินไว้ว่า มลพิษทางอากาศภายนอกอาคาร (ambient air pollution) เป็นเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลกกว่า 4.2 ล้านคนในปี พ.ศ. 2562
ร่างพระราชบัญญัติฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพอากาศสะอาด อนึ่ง กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันตั้งอยู่บนแนวคิดซึ่งมุ่งเน้นไปที่การควบคุมมลพิษทางอากาศ แต่ร่างพระราชบัญญัติฯฉบับนี้นำแนวคิดที่มุ่งเน้น ‘อากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ’ มาเป็นหลักโดยจะเห็นได้จากการนำดัชนีคุณภาพอากาศเพื่อสุขภาพ (Air Quality for Health Index: AQHI) มาใช้อ้างอิง เพื่อรองรับการเข้าถึงอากาศบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในการดำรงชีพอย่างปลอดภัย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ ประกอบด้วยแนวคิดและโครงสร้างทางกฎหมายรูปแบบใหม่ ซึ่งรวมถึงการออกแบบมาตรการเฉพาะเพื่อจัดการมลพิษทางอากาศในภาคส่วนที่มีการปล่อยมลพิษสูง การใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการดำเนินกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การขยายขอบเขตความรับผิด และการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการมลพิษทางอากาศในเขตพื้นที่รับผิดชอบของตน

มาตรการที่ใช้เฉพาะกับอุตสาหกรรมและกิจกรรมบางประเภท
ร่างพระราชบัญญัติฯได้กำหนดมาตรการจัดการมลพิษทางอากาศที่มีการปล่อยมลพิษสูง ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคม ภาคป่าไม้ ภาคเกษตรกรรม ภาคเมือง และภาคมลพิษข้ามแดน ซึ่งครอบคลุมถึงการจัดการมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดข้ามพรมแดน เช่น ในภาคเกษตรกรรม มีมาตรการห้ามการเผาเพื่อการเก็บเกี่ยวหรือจัดการแปลง เว้นแต่จะเข้ากรณีที่ได้รับยกเว้น (เช่น การเผาเพื่อกำจัดการแพร่ระบาดของศัตรูพืช) ส่วนภาคการคมนาคม หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องจัดทำมาตรการเพื่อลดการใช้ยานพาหนะที่ใช้น้ำมันในเขตเมือง เพิ่มสัดส่วนยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษต่ำ ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และเพิ่มระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมือง เป็นต้น

มาตรการส่งเสริมและบทลงโทษ
ร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับกรณีฝ่าฝืนข้อกำหนดควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมให้ปฎิบัติ หรือดำเนินการเพื่อลดมลพิษ กล่าวคือ การกำหนดบทลงโทษทั้งทางแพ่ง อาญา และมาตรการปรับเป็นพินัยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของการฝ่าฝืน โดยใช้บังคับกับผู้ก่อหรือมีส่วนก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศหลายประเภท เช่น เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษ ผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมการติดตั้ง หรือผู้ติดตั้งระบบหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษทางอากาศที่มีส่วนโดยตรงในการก่อให้เกิดมลพิษ รวมถึงกำหนดให้สถาบันการเงินที่ได้ให้กู้ยืมหรือสนับสนุนทางการเงินหรือให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ผู้ก่อมลพิษดังกล่าวต้องร่วมรับผิดด้วย โดยอาจมีเหตุยกเว้นความรับผิดหากสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามเงื่อนไขของกฎหมาย
แม้การปฏิบัติตามกรอบกฎหมายใหม่นี้ อาจทำให้ต้นทุนของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นในระยะเริ่มต้น แต่หากกลไกต่างๆที่ระบุไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯใช้ได้ผล มันจะมีส่วนในการสร้างแรงจูงใจและโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการในระยะยาว กลไกที่ว่านี้รวมถึง
–กองทุนอากาศสะอาด (Clean Air Fund): มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการจัดการอากาศสะอาด โดยเงินทุนมีที่มาจากหลายแหล่ง ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมและเงินที่เรียกเก็บจากเครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่ออากาศสะอาดที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ
–ระบบจัดสรร ซื้อขาย และโอนสิทธิในการระบายสารมลพิษในพื้นที่ควบคุม (Allocation, Trading and Transfer of Emission Rights in Pollution Control Zone): หากพื้นที่ใดมีมลพิษทางอากาศเกินค่ามาตรฐาน หรือมีมลพิษทางอากาศเกินศักยภาพการรองรับสารมลพิษทางอากาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีอำนาจประกาศให้พื้นที่นั้นอยู่ภายใต้ระบบการจัดสรร ซื้อขาย และโอนสิทธิการระบายสารมลพิษทางอากาศ โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษภายใต้ระบบ จะต้องถือครองสิทธิให้เพียงพอกับปริมาณการระบายสารมลพิษทางอากาศจริง รายงานข้อมูลการระบายสารมลพิษ และจัดเก็บข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
–ระบบฝากไว้ได้คืน (Deposit and Refund System): เป็นกลไกที่เรียกเก็บเงินจากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้จัดจำหน่าย หรือผู้บริโภคสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่กำหนด ไว้เป็นการชั่วคราวเพื่อเป็นหลักประกันว่าสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือของเหลือใช้นั้นจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และจะคืนเงินให้แก่ผู้ที่นำสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือของเหลือใช้มาคืนเพื่อการจัดการอย่างเหมาะสม

บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
กลไกสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ อีกประการหนึ่ง คือการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบริหารจัดการมลพิษทางอากาศ โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด ซึ่งมีอำนาจต่างๆ ในการบริหารจัดการอากาศสะอาดในแต่ละจังหวัด ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบ กำกับ และควบคุมการประกอบกิจการ และกิจกรรมที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ การประกาศกำหนดพื้นที่เขตเฝ้าระวังมลพิษทางอากาศและเขตประสบมลพิษทางอากาศ หากคุณภาพอากาศไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และการกำหนดมาตรฐานควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศในเขตพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบหรือพื้นที่เฉพาะ
กล่าวโดยสรุป ร่างพระราชบัญญัติฯ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญทางกฎหมายของประเทศไทย เพื่อพัฒนาคุณภาพอากาศสำหรับทุกภาคส่วน ผู้ประกอบธุรกิจควรทำความเข้าใจกับมาตรการต่าง ๆ ของร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติตาม ซึ่งอาจรวมถึงการดำเนินการตรวจสอบสถานะ (due diligence) ในธุรกิจของตนเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น สำนักงานกฎหมาย Baker McKenzie มีความเชี่ยวชาญและพร้อมให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือในการระบุหาและจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ และมีทีมงานด้านความยั่งยืนซึ่งประกอบด้วยทนายความและวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสบการณ์ สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่ถูกต้องทั้งในเชิงกฎหมายและเทคนิค เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว
ที่มา
https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/ambient-(outdoor)-air-quality-and-health