จากความร่วมมือของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม UNDP ภาคีเครือข่าย และสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมเพ็กแห่งประเทศไทย ต่างก็มีความตั้งใจอันดีในการสนับสนุนให้ภาครัฐได้มีส่วนช่วยภาคเอกชนในการดำเนินการด้วยความเคารพในสิทธิมนุษยชน และให้ภาคเอกชนได้ร่วมแสดงจุดยืนในการดำเนินการโดยตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนทั้งต่อห่วงโซ่อุปทานและต่อภาคครัวเรือน
การจัดการประชุมระดับชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจึงได้ดำเนินมาสู่ปีที่ 7 โดยในปีนี้ประกอบด้วยการอบมรม และการร่วมเสวนาภายใต้หัวข้อ ‘เปิดรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน’ ว่าด้วยการที่มนุษย์ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนโดยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้อง ภายในงานมีการเสวนาในหัวข้อของการให้การสนับสนุนจากทางภาครัฐเพื่อให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการเคารพสิทธิมนุษยชน โดยการเสวนาให้ครั้งนี้เป็นการเสวนาที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาอันดีของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนในทุกขนาดให้ดำเนินการโดยคำนึงถึงและนำหลักการการเคารพสิทธิมนุษยชนมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับมาตรฐานของสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
นอกจากในส่วนที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้แล้ว ทางภาครัฐยังเห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของภาคเอกชนภายในช่วงเวลาของการดำเนินธุรกิจภายใต้ความตึงเครียดของสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดคือการเปลี่ยนแปลงระบบการดำเนินการ อาทิ การที่ธุรกิจส่วนมากที่มีใช้กระดาษ (paper-based) เป็นหลัก หันมาปรับใช้ระบบการดำเนินการแบบไร้กระดาษ (Paperless) โดยยังสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง การปรับตัวครั้งนี้คือตัวแปรสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภาคธุรกิจไทยที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและการดำเนินธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น นี่คือกุญแจที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนไทย ทางภาครัฐจึงอยากส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนทั้งในส่วนของระบบอำนวยความสะดวกของแพลตฟอร์ม(Platform)ต่างๆ ตลอดจนการอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงานให้มีความสามารถทางเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน
ในส่วนเสวนาสุดท้าย คือ การเสวนาของภาคเอกชนที่มีการดำเนินการแตกต่างกันตามแต่ละอุตสาหกรรม โดยในครั้งที่ 7 นี้ การเสวนาของภาคเอกชนได้รับเกียรติจาก 3 บริษัท ได้แก่ วัลแคน, ซีพี กรุ๊ป, และ เซ็นทรัลรีเทล เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจโดยมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในอุสาหกรรมที่มีความแตกต่างกัน อาทิ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการส่งเสริมการสร้างงานให้แก่ผู้พิการทางสายตา การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการยกระดับการจัดการข้อมูลสาธารณสุขไทย ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจขายปลีก โดยแต่ละบริษัทต่างก็มีความตั้งมั่นว่านอกจากการเคารพสิทธิมนุษยชนที่ทางองค์กรให้ความสำคัญเป็นหลักแล้ว การดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาคอย่างครอบคลุมทั้งในส่วนของการเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูล การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานอย่างรอบด้านของบริษัท และการกระจายสินค้าและรายได้สู่ภาคครัวเรือนในสังคมต่างเป็นและควรเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจของประเทศไทยสืบต่อไป