
รัฐบาลสหราชอาณาจักรในฐานะเจ้าภาพการประชุมสุดยอดด้านสภาพอากาศหรือ Cop26 ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ที่กลาสโกว์จะเน้นการเจรจากับประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมให้ใช้แนวทางการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อิงกับโครงสร้างพื้นฐานทางธรรมชาติ และคาดว่าจะประกาศการระดมทุนใหม่เพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนในการปรับตัว รวมทั้งเพิ่มโครงการนวัตกรรมที่หลากหลายมากขึ้น
.
ที่มาเรื่องนี้เนื่องจากในการวิจัยพบว่า การปลูกต้นไม้ การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ ป่าชายเลน และวิธีการธรรมชาติอื่น ๆ ในการปกป้องสิ่งแวดล้อมจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศสามารถประหยัดเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์ต่อปีและยังสามารถแทนที่โครงสร้างพื้นฐานที่ปล่อยคาร์บอนสูงอีกด้วย
.
การปลูกต้นไม้ช่วยปกป้องแผ่นดินจากน้ำท่วมและดินถล่ม ป่าชายเลนเป็นหนองน้ำที่กั้นระดับน้ำทะเลและคลื่นพายุ ขณะที่พื้นที่ชุ่มน้ำทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำดูดซับน้ำส่วนเกิน รูปแบบของ "โครงสร้างพื้นฐานทางธรรมชาติ" เหล่านี้หรือวิธีแก้ปัญหาจากธรรมชาติมีประโยชน์เพิ่มเติมในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศซึ่งทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ
.
แต่ทางเลือกโครงสร้างตามธรรมชาติเหล่านี้มักไม่ได้รับการสนับสนุนเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กำแพงทะเลและกำแพงกั้นน้ำท่วมที่มาจากธรรมชาติมักถูกละเลย
.
งานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาโดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (IISD) พบว่า การใช้โครงสร้างพื้นฐานทางธรรมชาติเพื่อป้องกันการพังทลายของสภาพอากาศสามารถประหยัดเงินได้มากถึง 248,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีทั่วโลก โดยมีค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งเดียวของโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้น
.
วิธีแก้ปัญหาจากธรรมชาติยังมีแนวโน้มที่จะถูกกว่าในการดูแลรักษา ช่วยสร้างงานในท้องถิ่น และให้ประโยชน์เพิ่มเติม เช่น ช่วยทำความสะอาดมลภาวะทางอากาศและทางน้ำ ปรับปรุงแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ป่าชายเลนใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของปลา ฯลฯ
.
แต่ประมาณหนึ่งในสามของธรรมชาติเหล่านี้ได้รับความเสียหายไปทั่วโลกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาจากนโยบายการพัฒนา โดยที่ในแต่ละปีทั่วโลกจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานใหม่มากกว่า 4 ล้านดอลลาร์ ทั้งที่มากกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนดังกล่าวสามารถใช้โซลูชันที่อิงธรรมชาติแทนได้
.
การสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อป้องกันการทำลายล้างจากความคลื่นร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วม ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และพายุที่รุนแรงขึ้น เป็นเรื่องเร่งด่วน เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้ายกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก และขาดเงินทุนสำหรับการปรับตัว เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ พื้นที่พรุและลักษณะทางธรรมชาติอื่น ๆ
.
ดังนั้นประเทศที่ร่ำรวยควรให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อรับมือปัญหาสภาพอากาศอย่างน้อย 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและรับมือกับผลกระทบของสภาพอากาศที่รุนแรง ซึ่งเลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เรียกร้องให้ใช้เงินทุนครึ่งหนึ่งเพื่อนำไปใช้กับมาตรการปรับตัวดังกล่าว
อ้างอิง: Oct 25, 2021
Natural infrastructure’ could save billions a year in climate crisis response . The Guardian