การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนทรัพยากรและปัญหามลภาวะอันเนื่องมาจากการใช้ทรัพยากรที่ไม่คุ้มค่าสร้างขยะมากเกินไป นำมาสู่การขยับตัวครั้งใหญ่ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก เพื่อให้ยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในมิติใหม่ ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยใช้หลักการ Circular Economy หรือระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนถูกคิดค้นขึ้น เพื่อเปลี่ยนอุตสาหกรรมดั้งเดิมแบบ “นำมา-ผลิต-ทิ้ง” ให้กลายเป็น “ใช้ใหม่เป็นวงจรไม่รู้จบ” ทำให้ไม่มีทรัพยากรส่วนใดในกระบวนการผลิต ถูกทิ้งไปอย่างสูญเปล่า อธิบายง่ายๆ ก็คือ ผลิตภัณฑ์และวัสดุจะถูกเก็บไว้ใช้ซ้ำ ผลิตซ้ำ และนำกลับมาใช้ใหม่ ตราบเท่าที่ทรัพยากรเหล่านั้นถูกใช้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
แม้การเปลี่ยนมาดำเนินธุรกิจด้วยหลัก Circular Economy นั้นต้องอาศัยการลงทุน เวลา และการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อหลักการต่างๆ แต่การปรับเปลี่ยนในวันนี้จะผลิดอกออกสู่อนาคตของธุรกิจและโลกที่ยั่งยืน
GCNT สรุปตัวอย่างกำไรที่เจ้าของธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบจะได้รับกลับคืนมา เมื่อกิจการของคุณเปลี่ยนมาขับเคลื่อนด้วยระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
กำไร #1 โอกาสทองในการเปลี่ยนแปลง
หลายคนอาจเข้าใจว่า Circular Economy คือระบบการผลิตที่มีการรีไซเคิลวัตถุดิบกลับมาผลิตซ้ำเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน เป็นแนวคิดแบบองค์รวมที่แทบจะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของการผลิต การบริโภค และการใช้ชีวิตเลยก็ว่าได้
เริ่มตั้งแต่ การออกแบบผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมบริการ การประสานเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบต่างๆ จนคล้ายกับการทำงานของระบบนิเวศ เพื่อให้เกิดการรักษาต้นทุนธรรมชาติ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้เกิดของเสียน้อยที่สุดและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสทองสำหรับการต่อเติมธุรกิจไปสู่รูปแบบใหม่ เพื่อให้องค์กรของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน และหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการทางการค้าที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
กำไร #2 ลดต้นทุน ทางรอดของธุรกิจ
ทุกวันนี้ ธุรกิจชั้นนำทั่วโลกมีแนวทางสร้างกระแสขยายผลเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อสร้างความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนวัตกรรมมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยแนวคิดการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยมีการหมุนเวียนและนำกลับมาใช้ตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยไม่ทำให้คุณค่าลดลง
การลดต้นทุนทางทรัพยากร โดยที่คุณค่ายังคงเดิม ทำให้องค์กรตอบสนองวิถีชีวิตของผู้คน สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างงานมูลค่าสูง สร้างกิจกรรมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงตามสัดส่วนการเติบโตอย่างที่เป็นมา
กำไร #3 กระชับความสัมพันธ์กับผู้บริโภครุ่นใหม่
ผลสำรวจจาก McKinsey เปรียบเทียบข้อมูลผู้บริโภค Gen Z กับ Gen Y และ Gen X จำนวน 16,000 คนในเอเชียแปซิฟิก 6 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย จีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย พบว่า กลุ่ม Gen Z ใส่ใจเรื่องการบริโภคอย่างยั่งยืนเท่ากับชาวมิลเลนเนียล พวกเขาต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาหารออร์แกนิก และแฟชันเครื่องนุ่งห่มที่สร้างผลกระทบต่อโลกน้อยที่สุด
คน Gen Z กำลังจะเข้ามามีบทบาทในตลาดผู้บริโภคถึง 40% พวกเขามีแนวโน้มในการเลือกซื้อแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเมื่อเทียบกับเจนก่อนหน้า ดังนั้นธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับคนกลุ่มนี้ที่มีความต้องการและสนใจด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนเจเนอเรชั่นก่อน