เมื่อทั่วโลกโฟกัสความหลากหลายทางชีวภาพ! Biodiversity ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ต้องเร่งฟื้นฟู

Article


ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) หมายถึง การมีสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอาศัยอยู่ในขอบเขตพื้นที่เดียวกัน ความหลากหลายทางชีวภาพนำมาซึ่งบริการทางระบบนิเวศ ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ ตั้งแต่อาหาร เชื้อเพลิง น้ำสะอาด ยารักษาโลก ตลอดจนการผลิตออกซิเจนในบรรยากาศ การหมุนเวียนสารอาหาร และการควบคุมระบบภูมิอากาศ ทั้งหมดล้วนเป็นประโยชน์ที่มนุษย์ได้รับจากระบบนิเวศทั้งสิ้น

ความหลากหลายทางชีวภาพนับเป็น “ต้นทุน” ที่มีคุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การมีทรัพยากรที่หลากหลายนับเป็นจุดขายสำคัญ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการผลิต ความอุดมสมบูรณ์ของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ คือหัวใจสำคัญของการมีวัตถุดิบที่หลากหลาย สำหรับใช้ผลิตและต่อยอดเป็นสินค้ามากมาย

ความน่ากังวลก็คือ ความหลากหลายทางชีวภาพของโลกกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา จำนวนพืชและสัตว์ในหลายพื้นที่ลดลงเป็นประวัติการณ์ บางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์และระบบเศรษฐกิจโลก

GCNT ชวนถอดรหัสการปรับตัว เมื่อความหลากหลายทางชีวภาพอันเป็น “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” แขวนอยู่บนเส้นด้าย คนทำธุรกิจต้องปรับ-เปลี่ยน-พลิกโฉมอย่างไร ให้ทั้งธุรกิจของคุณและเศรษฐกิจโลกยังคงขับเคลื่อนต่อไปได้



01 ต้นทุนทรัพยากรที่กำลังวิกฤต

วิกฤตการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) นับเป็น 1 ใน 3 วิกฤตฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมของโลกควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหามลภาวะ 

Intergovernmental Science-Policy Platform on Biodiversity and Ecosystem Services (IPBES) คือองค์กรอิสระระหว่างรัฐบาลชี้ว่าในช่วง 50 ปี ที่ผ่านมา 75 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นผิวดินที่ปราศจากน้ำแข็งของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ มหาสมุทรส่วนใหญ่มีมลพิษ และพื้นที่ชุ่มน้ำมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ได้ถูกทำลายลง 

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ที่ดิน โดยเฉพาะการเปลี่ยนผืนป่าจำนวนมากทั่วโลกเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยว การตักตวงผลผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติมากและเร็วกว่าที่จะฟื้นฟูตามธรรมชาติได้ และการแพร่กระจายของชนิดพันธุ์รุกรานต่างถิ่น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

World Wide Fund for Nature (WWF) ที่ได้ศึกษาวิจัยข้อมูลสัตว์ป่ากว่า 5,000 สปีชีส์เป็นเวลาเกือบ 50 ปี ระบุว่าปัจจุบันประชากรสัตว์ป่าทั่วโลกลดลง 69 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 2 ใน 3 นับตั้งแต่ปี 1970 โดยพื้นที่ที่เผชิญปัญหามากที่สุดคือประเทศในแถบลาตินอเมริกา และคาริบเบียนที่ประชากรสัตว์ป่าลดลงไปแล้วถึง 94 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่เอเชียและแปซิฟิกลดลง 55 เปอร์เซ็นต์ 

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ ภาวะโลกร้อน การแปรปรวนของฤดูกาลต่างๆ ตลอดจนภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้วิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพยิ่งแย่ลง เพราะมันได้เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในพื้นที่ต่างๆ เช่น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย มหาสมุทรเป็นกรด ภูมิประเทศกลายเป็นทะเลทราย ทำให้เกิดการสูญเสียสายพันธุ์ท้องถิ่น เพิ่มความเสี่ยงของโรคต่างๆ ส่งผลให้พืชและสัตว์จำนวนมากล้มตาย



02 ทิศทางเศรษกิจโลกที่ต้องโฟกัสมากกว่าเรื่องเงิน

ตามที่ United Nations Environment Programme (UNEP) ประเมินไว้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของโลกกว่าครึ่งหนึ่งต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ วิกฤตนี้จึงไม่เพียงส่งผลต่อพืชและสัตว์ แต่จะส่งผลกระทบต่อฐานทรัพยากรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพนำไปสู่การลดลงของความอุดมสมบูรณ์ของดิน การผสมเกสร และการควบคุมศัตรูพืช ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนจำเป็นต่อการผลิตพืชผล หากไม่มีปัจจัยังกล่าว ผลผลิตทางการเกษตรจะลดลง และนำไปสู่การขาดแคลนอาหารในที่สุด

ในขณะเดียวกัน ประเทศที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวอย่างประเทศไทย ซึ่งเคยมีความหลากหลายทางชีวภาพมากมาย เมื่อความอุดมสมบูรณ์เหล่านั้นลดลง ความสวยงามทางธรรมชาติและสัตว์ป่าที่เป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอาจหายไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้จากการท่องเที่ยว นอกจากนี้  การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพยังลดการปกป้องทางธรรมชาติ ทำให้พื้นที่เปราะบางต่อภัยพิบัติมากขึ้น โดยน้ำท่วม ดินถล่ม หรือพายุ ที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้น จะสร้างความเสียหายต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคม

ดังนั้นเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการพัฒนาธุรกิจให้เศรษฐกิจโลกยังคงขับเคลื่อนต่อไปได้ เราจึงต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉม (Transformative Change) ให้เกิดขึ้น

ในระดับโลก การประชุมสมัชชาองค์การสหประชาชาติ สมัยที่ 73 ได้การกำหนดวิสัยทัศน์ปี 2050 เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้องและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ รวมถึงประกาศให้ปี 2021 ถึง 2030 เป็นศตวรรษแหงการฟื้นฟูระบบนิเวศ (UN Decade on Ecosystem Restoration) และเมื่อปีที่ผ่านมา ณ การประชุมสมัชชาภาคีว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสมัยที่ 15 (CBD COP 15) ก็มีการรับรอง กรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลกขึ้น 

โดยสาระสำคัญของกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลฯ มีการกำหนดเป้าประสงค์ไว้ 3 ข้อ คือ 

  • เป้าประสงค์ที่ 1 เพื่อคุ้มครอง ฟื้นฟู รักษาความหลากหลายทางชีวภาพเอาไว้ให้ได้ ระบบนิเวศนั้นเชื่อมโยงถึงกันเป็นโครงข่าย และทุกพื้นที่ในโลกจะต้องได้รับการดูแลรักษา
  • เป้าประสงค์ที่ 2 ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างยั่งยืน ผ่านการจัดการและจัดสรรการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของทุกประเทศ
  • เป้าประสงค์ที่ 3 เราต้องมีเครื่องมือแก้ปัญหาการดำเนินงาน และผลักดันให้ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นกระแสหลัก ซึ่งรวมถึงบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพเข้าสู่นโยบายและกฎหมาย ตลอดจนการจัดสรรแหล่งเงินทุน องค์ความรู้อย่างเพียงพอแก่ทุกภาคส่วน

สำหรับประเทศไทย สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) คือหน่วยงานหลักของทุกภาคส่วนในการจัดทำกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการความหลากหลายทางชีวภาพ (NBSAP) ซึ่งเป็นแผนระยะ 5 ปี ควบคู่ไปกับการจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาว เพื่อบูรณาการการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพเชื่อมโยงกับการแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศทั้งในระดับประเทศและระดับโลก 

โดยล่าสุด สผ. ได้ร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) จัดเวิร์คช็อปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับโอกาส ความท้าทาย และช่องว่างในการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลฯขึ้น เพื่อจัดลำดับความสำคัญว่าประเทศไทยควรให้น้ำหนักกับการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพในทิศทางใดบ้าง ซึ่งจะนำไปสู่การจัดทำยุทธศาสตร์ระยะยาวต่อเนื่องไปสู่ปี 2050



03 ธุรกิจของคุณคือกุญแจสู่ระบบนิเวศที่ยั่งยืน

ในมุมของภาคเอกชน ความหลากหลายทางชีวภาพอาจเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในแผนการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตามวิกฤตฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ผลักดันให้โลกเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง และธุรกิจที่นำแนวคิดเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพมาใช้อย่างจริงจังจะได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต เพราะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ๆ ที่ทำกำไรควบคู่ไปกับการสนับสนุนระบบนิเวศได้ นอกจากนี้ เมื่อธุรกิจตอบสนองความต้องการของสาธารณะในการมุ่งสู่ความยั่งยืน ธุรกิจนั้นๆ ก็จะสามารถเข้าถึงแหล่งทุนต่างๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย 

ในปัจจุบัน บริษัทต่างๆ ควรให้ความรู้แก่พนักงานและพันธมิตรทางธุรกิจ เกี่ยวกับความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ และฝึกอบรมให้ทุกคนตัดสินใจด้วยการให้น้ำหนักกับสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ขณะเดียวกันผู้บริหารมีหน้าที่ที่จะต้องรวมเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เข้ากับกลไกการกำกับดูแลที่มีอยู่เพื่อให้แน่ใจว่าในเป้าหมายสีเขียวเหล่านี้ได้รับความสนใจเช่นเดียวกับ KPI ด้านการเงิน และมันสำคัญมากที่บริษัทจะต้องร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจในการแบ่งปันความรู้ รวบรวมทรัพยากร เพื่อเอาชนะอุปสรรคด้านต้นทุนและเทคโนโลยี

Boston Consulting Group (BCG) นำเสนอขั้นตอนการดำเนินการใน 3 ด้าน เพื่อสร้างธุรกิจที่คำนึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ 

ด้านที่ 1 รอยเท้าความหลากหลายทางชีวภาพ บริษัทต่างๆ ควรกำหนดเป้าหมายในการบรรเทาผลกระทบด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีลำดับชั้น (Mitigation Hierarchy) เริ่มจากพยายามหลีกเลี่ยงการแทรกแซงความหลากหลายทางชีวภาพในทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจ ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ บริษัทควรหาทางชดเชยผลกระทบดังกล่าว ด้วยการฟื้นฟูระบบนิเวศหรือสนับสนุนการฟื้นฟูตามธรรมชาติ รวมถึงสนับสนุนให้ซัพพลายเออร์และผู้มีส่วนได้เสีย ใช้ที่ดินและดําเนินงานในทุกพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวด้านความหลากหลายทางชีวภาพอย่างรับผิดชอบ

ด้านที่ 2 การประยุกต์นวัตกรรม ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีล้ำสมัยช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง รวมถึงลดการส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศได้ 

เช่น การเพาะพันธุ์พืชที่มีความทนทานต่อแมลงศัตรูพืชมากขึ้นและมีการดูดซึมปุ๋ยที่ดีขึ้นของบริษัทด้านการเกษตร ช่วยลดการใช้สารเคมีที่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ย่อยสลายทางชีวภาพได้ของบริษัทบรรจุภัณฑ์ และการเลิกใช้วัสดุเป็นพิษในบริษัทแฟชันที่ช่วยลดปริมาณ microfibers ที่จะตกค้างในระบบนิเวศตามธรรมชาติ

ด้านที่ 3 การสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพเชิงรุก ภาคเอกชนควรทำงานสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพที่นอกเหนือไปจากธุรกิจหลักของตัวเองด้วย ผ่านการรับผิดชอบการดูแลผืนป่าหรือท้องทะเลในพื้นที่ที่เฉพาะเจาจง โดยทำการจัดหาเงินทุน ขับเคลื่อนการแบ่งปันความรู้และทำงานร่วมกับชุมชนรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เช่น Marks & Spencer บริษัทค้าปลีกรายใหญ่สัญชาติอังกฤษ ประสบความสำเร็จในการทำงานร่วมกับ WWF และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก โดยได้เข้าไปแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำรวมถึงปรับปรุงธรรมาภิบาลในการจัดการน้ำ (Water Governance) ในหลายภูมิภาค ทั้งยังขับเคลื่อนการทำไร่สตรอเบอรี่อย่างยั่งยืนในประเทศสเปน 

ที่ผ่านมากิจกรรมของมนุษย์มุ่งเน้นไปที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ ผลักดันให้เกิดการทำลายล้างและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนเป้าหมายในการขับเคลื่อนพลวัตของโลก ให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมไปพร้อมกับเศรษฐกิจ อาศัยความเข้าใจในธรรมชาติ รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพเป็นฐาน คือหัวใจเดียวที่จะทำให้ธุรกิจของคุณและโลกมุ่งไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน


ข้อมูลอ้างอิง

The Biodiversity Crisis Is a Business Crisis https://www.bcg.com/publications/2021/biodiversity-loss-business-implications-responses
ร่วมเปลี่ยนแปลงโลกกับเรา
UN Global Compact
Network Thailand
APPLY FOR MEMBERSHIP
เกี่ยวกับคุกกี้บนเว็บไซต์นี้
เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ เราใช้คุกกี้เพื่อเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพ และการใช้งานของเว็บไซต์เพื่อปรับปรุง ปรับแต่งเนื้อหา และโฆษณาตามความต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม และพัฒนาประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้ใช้ เงื่อนไขการใช้งานเว็บไซต์ และ นโยบายสิทธิส่วนบุคคล
Subscribe
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
คุณสามารถปรับแต่งการตั้งค่าคุกกี้ในแต่ละประเภทได้ดังต่อไปนี้
จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่จำเป็นต่อการให้บริการ
(Strictly Necessary Cookies)
เปิดใช้งานตลอดเวลา
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการบนเว็บไซต์ของเรา ซึ่งรวมถึงคุกกี้ที่จะช่วยให้ท่านสามารถเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยของเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้เพื่อการวัดผลการทำงานและฟังก์ชันการทำงานของเว็บไซต์
(Performance and Functionality Cookies)
คุกกี้ประเภทนี้จะถูกใช้เพื่อจดจำท่านเมื่อท่านกลับเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราอีกครั้ง ช่วยให้เราปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับท่านและจดจำการตั้งค่าของท่าน (เช่น ภาษาหรือภูมิภาคที่ท่านเลือก) แต่ไม่จำเป็นต่อการวัดผลการทำงานของเว็บไซต์
คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์หรือเพื่อการปรับแต่ง
(Analytical or Customization Cookies)
คุกกี้ประเภทนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการที่ผู้ใช้งานเข้าสู่เว็บไซต์และออกจากเว็บไซต์ เราใช้ข้อมูลนี้ในลักษณะของข้อมูลโดยรวมเพื่อช่วยให้เราปรับปรุงวิธีการทำงานของเว็บไซต์ หรือเพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของเราตามความสนใจของท่านได้