01 Decoupling ปลดล็อกเพื่อสร้างธุรกิจยืดหยุ่น
หนึ่งในกระแสสำคัญของการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนคือ Decoupling หรือการแยกออกจากกันระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการเสื่อมโทรมลงของทรัพยากรธรรมชาติ ตรงข้ามกับในอดีตที่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ นำไปสู่การถลุงใช้ทรัพยากรจนทำลายล้างระบบนิเวศ
ในบริบทของการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน Decoupling เกี่ยวข้องกับการลดปริมาณการใช้ต้นทุนทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน และวัตถุดิบที่จำเป็นในการผลิตและบริการ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งสามารถทำได้ผ่านหลากหลายกลยุทธ์ เช่น
หนึ่งในบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นคือ Patagonia บริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าและอุปกรณ์กลางแจ้ง ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ต้งแต่จัดหาวัสดุ การผลิต ไปจนถึงกระจายสินค้า และการจัดจำหน่าย
Patagonia มีการลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมจำนวนมาก โดยเฉพาะวัสดุและกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน เช่น การใช้เส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิลและฝ้ายออร์แกนิก ซึ่งช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ยังใช้กระบวนการผลิตแบบวงจรปิด (closed-loop) ซึ่งช่วยลดของเสียและทำให้สามารถนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำและรีไซเคิลใช้ใหม่ รวมถึงใช้โปรแกรมการตรวจสอบย้อนกลับที่ช่วยให้ลูกค้ารู้แหล่งที่มาของวัสดุที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ของตัวเองได้
Patagonia ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความรับผิดชอบ โดยได้กำหนดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เข้มงวดให้ซัพพลายเออร์ปฏิบัติตาม โดยมีการตรวจสอบและติดตามผลเป็นประจำ บริษัทริเริ่มโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลายอย่าง เช่น เพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางการขนส่ง และเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนในร้านค้าและศูนย์กระจายสินค้า
02 มาตรฐานความยั่งยืนที่ต้อง 'บริหารจัดการ' รอบด้าน
Decoupling ยังมีความหมายอีกนัยยะที่สื่อถึงการแยกเศรษฐกิจหรือห่วงโซ่การผลิตออกจากอีกประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างสิ้นเชิง เพื่อลดผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบในยามที่อะไรๆ ก็มีความไม่แน่นอนสูง
อย่างการที่สหรัฐฯ และจีน พยายามที่จะแยกห่วงโซ่เศรษฐกิจออกจากกัน ลดการพึ่งพาในแง่การใช้เป็นฐานการผลิต ฐานการนำเข้าหรือซัพพลายเออร์วัตถุดิบและส่วนประกอบ หรือการที่อินโดนีเซีย ผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของโลกได้ระงับการส่งออกน้ำมันปาล์มนานหลายเดือนด้วยภาวะเฟ้อจากสงครามในยูเครน เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันปาล์มจะเพียงพอสำหรับการบริโภคภายในประเทศ
การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนนับเป็นความพยายามระดับโลก โดยปัจจุบันหลายประเทศเริ่มเดินหน้ากฏหมายและข้อบังคับเพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทต่างๆ จะรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านลบจากห่วงโซ่อุปทานของตน อย่าง Supply Chain Act ของประเทศเยอรมนีที่เริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2023 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทสัญชาติเยอรมัน รวมถึงบริษัทที่มีสาขาในประเทศเยอรมนีจะต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญา ในการตรวจสอบสถานะด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุปทานของตนอย่างเหมาะสม
เช่นเดียวกับสหภาพยุโรปที่ได้เสนอร่างกฏหมาย “EU Directive on Corporate Sustainability Due Diligence” ซึ่งกำหนดให้มีการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของบริษัทในสหภาพยุโรป รวมถึงบริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจในเขตสหภาพยุโรป ตลอดจนเครือข่ายธุรกิจของบริษัทนั้นๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การเพาะปลูก ผลิต และแปรรูป ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดของโลกว่าดำเนินการอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมหรือไม่
แม้ร่างกฏหมายดังกล่าว จะไม่มีผลใช้บังคับกับผู้ประกอบการรายย่อย แต่ SMEs ไทยจำนวนไม่น้อยที่เป็นซัพพลายเออร์ให้บริษัทที่เข้าข่าย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร สินค้าแฟชั่น อัญมณี ก็จะได้รับผลกระทบอยู่ดี
03 ติดอาวุธธุรกิจ เมื่อทั่วโลกเดินหน้านโยบายสิ่งแวดล้อม
นับจากนี้ กฎหมาย ข้อบังคับของประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะยิ่งจะเป็นสีเขียวและเข้มงวดขึ้น เราจะเห็นการเปลี่ยนผ่านของฐานการผลิตสินค้าประเทศต่างๆ ทั่วโลก บริษัทใหญ่หลายแห่งที่เคยใช้ทวีปเอเชียเป็นฐานการผลิต จะเริ่มมองหาฐานการผลิตใหม่ที่ต้นทางของวัตถุดิบ การผลิต และการบริโภคอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน เนื่องจากลดระยะทางของการขนส่งลง ส่งผลให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า
ดังนั้นผู้ประกอบการไทยต้องเริ่มขยับตัวเช่นกัน เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทคุณเป็นไปตามมาตรฐานการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงนี้ แม้จะท้าทายอยู่มากแต่ก็นับเป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นให้บริษัทคู่ค้าและผู้บริโภค ตลอดจนตลาดใหม่ๆ จากเป้าหมายทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น หันมามุ่งเน้นการทำธุรกิจในภูมิภาค หรือ ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ผลิตบนแนวคิดที่ยั่งยืนกว่า
ในระดับองค์กร CEO คือผู้มีบทบาทในการส่งเสริมการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนของธุรกิจ และนี่คือ 5 ขั้นดำเนินการเริ่มต้น
04 ตั้งคำถามใหม่ ไม่ใช่ what-why แต่เป็น how-when
ภาวะโลกรวนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งยังเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต หลายสิ่งที่เคยอธิบายได้ก็อธิบายไม่ได้ โลกของเราอ่อนแอลง ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมรุมเร้า พร้อมๆ กับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
โจทย์ความยั่งยืนในวันนี้จึงท้าทายกว่าที่เคยเป็นมา มีหลากปัญหาวิ่งเข้ามาทดสอบผู้นำองค์กรและผู้บริหารธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นี่คือเวลาสำคัญที่คุณต้องพิสูจน์ และเลือกว่าจะรบ-หลบ-หรือยืนรอความพ่ายแพ้ เพราะถ้ายิ่งช้าจะยิ่งเสียเปรียบ โจทย์วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องของความตระหนักหรือ what-why แต่เป็นเรื่องของ how-when การเร่งลงมือทำเพื่อแข่งขันกับเวลาต่างหาก
Sustainable Supply Chain Management ไม่ใช่แค่ข้อบังคับที่ต้องทำให้เสร็จและสอบให้ผ่าน แต่มันคือแผนที่ที่ช่วยระบุแนวทางให้ธุรกิจเดินหน้าได้ง่ายและเร็วขึ้น ในท้ายที่สุด ความต้องการของตลาดส่วนใหญ่จะเบนเข็มมาทิศทางความยั่งยืน “how-when” ตั้งคำถามให้ถูก เพื่อเริ่มรับมือและคว้าโอกาสตั้งแต่วันนี้
ข้อมูลอ้างอิง