กรณีศึกษาการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เผยว่า มีความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีคุณค่าโภชนาการ ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอน โดยมุ่งทำการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และพัฒนาแหล่งอาหารที่ยั่งยืนในระยะยาว
การทำเกษตรเชิงฟื้นฟูของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ที่น่าสนใจมีดังนี้
1.การสร้างระบบเกษตรเชิงนิเวศเพื่อความยั่งยืนในการเพาะปลูกกาแฟ
ส่งเสริมการทำเกษตรแบบผสมผสานเพื่อความยั่งยืน ด้วยการปลูกกาแฟร่วมกับต้นไม้ใหญ่เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและดูดซับคาร์บอน ไปจนถึงการปลูกพืชหลากหลายชนิด และปลูกพืชคลุมดินในสวนกาแฟ เพื่อรักษาความชื้นและเพิ่มสารอาหารในดิน เทคนิคเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เสริมตลอดปีจากพืชหลากหลายชนิด แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับคาร์บอนอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างสมดุล โดยส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตปุ๋ยหมักกว่า 500 ตันต่อปีเพื่อฟื้นฟูสุขภาพดินและปกป้องแหล่งน้ำอย่างยั่งยืน ทั้งยังมีการวิเคราะห์ดินอย่างต่อเนื่องให้กับเกษตรกร 3,800 รายตั้งแต่ปี 2012 เพื่อให้สามารถใช้ปุ๋ยได้อย่างเหมาะสม ช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพและเพิ่มศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนไปพร้อมกัน
ไม่เพียงเป็นตัวอย่างในภาคปฏิบัติ แต่ยังส่งเสริมภาคความรู้เพื่อการต่อยอด โดยจัดหลักสูตร Farmer Business School เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการต้นทุนและกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากจุดเริ่มต้นในภาคใต้ ปัจจุบันเนสท์เล่ได้ขยายพื้นที่การปลูกกาแฟตามหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูไปยังจังหวัดต่างๆ เช่น อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และจังหวัดเลย และจะยังคงเดินหน้าขยายพื้นที่ปลูกกาแฟอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
2.การเกษตรเชิงฟื้นฟูในฟาร์มโคนม
มุ่งเน้น 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ การจัดการอาหารแม่โค การจัดการของเสียและการใช้พลังงานทดแทน เพื่อบริหารจัดการฟาร์มโคนมอย่างครบวงจร ดังนี้
2.1 ดูแลโภชนาการโคนม จากการสร้างแปลงหญ้าอาหารสัตว์ที่หลากหลาย
เนสท์เล่ให้ความสำคัญกับการจัดการอาหารและโภชนาการสำหรับโคนม โดยเพิ่มพื้นที่ปลูกหญ้าผสมถั่วหลายชนิด เพื่อให้แม่โคได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและหลากหลาย ทั้งยังมีการวิเคราะห์ดินเพื่อใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม พร้อมจัดอบรมเกษตรกรและเจ้าหน้าที่สหกรณ์ให้สามารถคำนวณสูตรอาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการของแม่โค ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรกร พร้อมเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน
2.2 นำมูลโคมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์
ส่งเสริมให้เกษตรกรนำมูลโคมาตากแห้งเพื่อผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับแปลงพืชอาหารสัตว์ ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี รวมถึงติดตั้งบ่อไบโอแก๊ส เพื่อใช้แก๊สมีเทนจากมูลโคเป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่ง
2.3 ฟาร์มโคนมโซลาร์เซลล์
ทุกวันนี้ เนสท์เล่สนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับระบบน้ำในแปลงหญ้าเพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสำหรับแปลงหญ้าได้ตลอดปี การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากฟาร์มโคนมได้มากกว่า 5,000 ตันในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2018 แต่ยังส่งผลให้ผลผลิตน้ำนมต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 กิโลกรัมต่อตัว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 11 กก. ต่อตัวต่อวัน และยังมีระดับโปรตีนในน้ำนมที่ดีขึ้นสูงกว่า 3%
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่: https://www.nestle.com/sites/default/files/2025-02/creating-shared-value-nestle-2024.pdf
ความยั่งยืนก้าวต่อไปของ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด
คุณเจนิกา คอนเด ครูซ หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมองค์กรและความยั่งยืน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า เนสท์เล่ ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้การปลูกกาแฟและการเลี้ยงโคนมเป็นไปตามหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในการดำเนินงานตลอด 40 ปีของเนสท์เล่ ทำให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน ตามแนวคิด “Triple Win+” ที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารได้อย่างยั่งยืน ด้วยการเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณมากขึ้น ดูแลให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงปกป้องและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และท้ายที่สุดคือการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่มาจากวัตถุดิบที่ดีและยั่งยืนให้กับผู้บริโภคชาวไทยทุกคน