UN Global Compact Network Thailand สรุปเนื้อหาสำคัญจากงานสัมมนาในหัวข้อ “อนาคตของ SDGs : ทิศทางการขับเคลื่อน และความท้าทาย” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 โดยคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ณ อาคารรัฐสภา เพื่อเป็นการติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ของประเทศไทย
01
ในงานมีการบรรยาย “หัวข้อภาพรวมของมุมมองในการขับเคลื่อน SDGs เพื่ออนาคตของประเทศไทย” โดย ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ร่วมกับ นางสาวเอกสิริ ปิณฑะรุจิ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ และผู้แทนจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เน้นย้ำว่า
SDGs จะต้องเป็นเรื่องที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนชั้นล่าง และบุคคลทั่วไปได้ ความท้าทายในการติดตามความคืบหน้าในการขับเคลื่อน SDGs ในเรื่องฐานข้อมูลยังคงไม่คลอบคลุมทุกพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการสร้าง data dashboard ภายใต้การร่วมมือกับภาคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้ประเทศชาติขับเคลื่อนงานไปด้วยกันด้วยตัวชี้วัดร่วมกัน
นอกจากนี้ในแง่การดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ในการขับเคลื่อน SDGs การสร้างความรู้ความเข้าใจ การสร้างทักษะ และการมีทัศนคติ ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยเริ่มจากตัวเรา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อเรา ต่อคนรุ่นหลัง และต่อโลก
02
นอกจากนี้ยังมีการการอภิปรายในหัวข้อ “อนาคตของ SDGs : ทิศทางการขับเคลื่อน” โดยผู้แทนทั้ง 5 องค์กรจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานกิจการยุติธรรม และกรมองค์การระหว่างประเทศ ได้แลกเปลี่ยนมุมมองต่อหลักการ 5 Ps ประกอบด้วย
1) ปัญหาความยากจน ความหิวโหยและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม (People) ผู้แทนจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวว่าความท้าท้ายของเกษตกรในประเทศไทยขาดทักษะ และความความสามารถในการจัดการเชิงธรุกิจ และการตลาด มีข้อจ้ากัดในการเข้าถึงและเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการทำการเกตร เป็นต้น
นอกจากนี้มีการเน้นย้ำเรื่องการเติบโตสีเขียว BCG ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าท้าย หากเราสามารถปฏิบัติได้จริง จะเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) สร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากรชีวภาพ เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าหรือยาวนานที่สุด
2) การปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศเพื่อพลเมืองโลกรุ่นต่อไป (Planet)
ผู้แทนจากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้นำเสนอว่า เป้าหมายที่มีสถานะบรรลุแล้ว คือ SDG6 (น้ำสะอาดและการสุขาภิบาล) เป้าหมายที่มีสถานะท้าทายบางส่วน คือ SDG12 (การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน) เป้าหมายที่มีสถานะท้าทาย คือ SDG13 (การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) และSDG14 (ทรัพยากรทางทะเล) เป้าหมายที่มีสถานะท้าทายมาก คือ SDG15 (ระบบนิเวศบนบก)
ทั้งนี้ในประเทศไทยได้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุในแต่ละเป้าหมายข้างต้น รวมทั้งได้เสนอประเด็นที่น่าสนใจและโอกาสเพื่อคนรุ่นต่อไป
3) การส่งเสริมให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและสอดคล้องกับธรรมชาติ (Prosperity) SET กับบทบาทการพัฒนาความยั่งยืนของตลาดทุนไทย การสร้างการรับรู้ (Awareness) และความรู้ความเข้าใจ (Knowledge) ทั้งในเชิงลึก และกว้างขึ้น การยกระดับคุณภาพและการเปิดเผยข้อมูล อีกทั้งการสื่อสาร (communication promotion) ซึ่งถือเป็นใจความสำคัญในการขับเคลื่อน ESG
4) การยึดหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีสังคมที่สงบสุขและไม่แบ่งแยก (Peace) และ 5) ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน (Partnership)
ผู้แทนจากกรมองค์การระหว่างประเทศ กล่าวว่า การดำเนินงานในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่องว่างทางดิจิทัลที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนเปราะบาง นอกจากนี้การขับเคลื่อน SDGs ในระดับพื้นที่ (SDG Localization) ทุกภาคีมีส่วนสำคัญในการร่วมผลักดันเรื่องนี้ในการสร้างความตระหนักรรู้เรื่อง SDGs ให้กับหน่วยงานระดับท้องถิ่นไปจนถึงคนในพื้นที่ รวมถึงการนำความคิดเห็น ข้อมูลจากท้องถิ่นเข้าไปอยู่ในแผนยุทธศาสตร์
03
ปิดท้ายด้วยเสวนา ในหัวข้อ “การสร้างพลังขับเคลื่อน SDGs เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” โดยมีผู้แทนจากภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และภาคเด็กและเยาวชนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของแต่ละองค์กรในการขับเคลื่อน SDGs พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนถึงบทบาทต่อการดำเนินงานขับเคลื่อน SDGs ซึ่งทั้ง 4 องค์กรชี้ว่า ดังนี้
นอกจากนี้การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินการสู่การปฏิบัติการทำธุรกิจนั้นจะช่วยพัฒนา ที่สุดท้ายแล้ว จะมุ่งสู่ความสุขและประโยชน์สุขของสังคมได้อย่างไร หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงช่วยกำหนดเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน ความยั่งยืนต้องวัดผลได้จริง ในทุกมิติ จุดมุ่งหมายของการทำเรื่อง ESG คือ การสร้างความเปลี่ยนแปลงมีกลยุทธ์ความยั่งยืน ขับเคลื่อน 3 มิติทั้ง
ผู้แทนจากคธรุกิจ ได้นำเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย เกี่ยวกับโมเดลธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในรูปแบบธุรกิจที่เรียกว่า ดอกไม้กับแมลง ยกตัวอย่าง SME การหนุนธุรกิจรายใหญ่ ต้องอยู่ร่วมธุรกิจรายเล็ก ดังนั้นบทบาทของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่พาตัวเอง สู่ความยั่งยืนแต่ต้อง empower ธรุกิจที่เป็นคู่ค้า (supply chain) empower ธุรกิจขนาดเล็กสู่ความยั่งยืนด้วย
การทบทวนวาระจากครึ่งทางการพัฒนา 15 ปี จะไปถึงปี 2030 เราปรับประเด็นทิศทางร่วมกันให้กับภาคธุรกิจที่จะประสานนโยบายภายใต้หารือกับประเทศต่างๆและรัฐบาลนานาชาติว่าจะปูพรมในการนำ SDG Summit มาสอดแทรกวาระความท้าทายของโลก มีดังนี้
1) Gender Equality แนวทางความสำคัญของมนุษย์เป็นส่วนกลาง ไม่ทิ้งกลุ่มคนใดไว้ข้างหลัง มีค่าตอบแทนที่เป็นธรรม
2) Climate Action การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ใช้เทคโนโลยีมาช่วยการรับมือกับการปรับตัวเพื่อไม่ให้โลกอุณหภูมิสูงขึ้นไปกว่า 1.5C ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่ง
ภายในปี 2030 และมีกิจการที่ชัดเจนว่าจะลดผลกระทบทางสังคมเนื่องจากเมื่อโลกรวนเกิดขึ้นแล้วได้อย่างไร
3) Living Wage ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน รวมถึงคำนึงถึงความสำคัญของหลักประกันสิทธิถ้วนหน้า ระบบประกันสังคมทุกคนรวมถึงคู่ค้าในการทำธุรกิจ ได้รับค่าจ้างที่พอเพียงในการดำเนินชีวิต
4) Finance & Investment ระดมทุนเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ เน้นส่วนธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น
5) Water Resilience สร้างความยืดหยุ่นในการใช้น้ำร่วมมือกันเพื่อให้บรรลุผลเชิงบวกต่อน้ำในแหล่งน้ำที่มีความเสี่ยงอย่างน้อย 100 แห่ง ภายในปี 2030
ทั้งนี้การระดมความเห็นและได้รับความร่วมมื่อจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการสำหรับกำหนดประเด็นวาระหารือในการสร้างพลังการขับเคลื่อนสู่การประกาศ national commitment สร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน 2027-2030 ควบคู่กับการประกาศระดับโลกที่เคยประกาศไว้ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน