เดือนที่ผ่านมา สหภาพยุโรปได้ผ่านข้อกำหนดสำคัญอย่าง Corporate Sustainability Due Diligence Directive (CSDDD) เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทต่างๆ รับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ทั้งในการดำเนินธุรกิจและในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด โดยข้อกำหนดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของ EU Green Deal ซึ่งเป็นแผนงานที่ครอบคลุมเพื่อทำให้เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปมีความยั่งยืนและเป็นกลางต่อสภาพภูมิอากาศภายในปี 2050
ในบทความนี้ เราชวนทำความเข้าใจผลกระทบของข้อกำหนด CSDDD ต่อผู้ประกอบการไทย และการปรับตัวตามให้ทันต่อข้อกำหนดใหม่ๆ ในอนาคต
01 ภาคเอกชนต้องทำอะไรบ้าง?
ข้อกำหนด CSDDD กำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ดำเนินการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของตนอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อระบุและแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น การบังคับใช้แรงงาน ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังต้องเตรียมพร้อมสำหรับปัญหาที่ไม่คาดคิด เช่น ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานหรือเหตุฉุกเฉิน โดยหากละเมิดการปฏิบัติตามกฎ บริษัทอาจถูกปรับหรือถูกลงโทษอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลต่อชื่อเสียงขององค์กร
โดยบริษัทต่างๆ จะต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อป้องกันและจัดการกับผลกระทบด้านลบใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทานของตน รวมถึงการพัฒนาแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้น และรับรองว่าพันธมิตรทางธุรกิจโดยตรงตกลงที่จะปฏิบัติตามแผนเหล่านี้
02 บริษัทไทยอยู่ตรงไหนของสมการ?
ข้อกำหนด CDDDD ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงกลุ่มสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อให้กฎระเบียบของสหภาพยุโรปสอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น แนวปฏิบัติของ องค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) สำหรับวิสาหกิจข้ามชาติ
โดยประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปแต่ละประเทศจะแต่งตั้งหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด CDDDD ของบริษัท และทำงานร่วมกับเครือข่ายหน่วยงานกำกับดูแลของยุโรป โดยอำนาจดำเนินการสอบสวนและกำหนดบทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมถึงค่าปรับสูงสุด 5 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการซื้อขายสุทธิทั่วโลกของบริษัท
จากการถกเถียงและเจรจาเกี่ยวกับขอบเขตและการบังคับใช้ข้อกำหนด CSDDD ท้ายที่สุด มีการตัดสินใจว่าจะถูกนำไปใช้กับ
นับจากนี้ หลังจากรัฐสภายุโรปให้การอนุมัติขั้นสุดท้าย แต่ละประเทศในสหภาพยุโรปจะมีเวลา 2 ปีในการเปลี่ยนข้อกำหนด CDDDD เป็นกฎหมายระดับชาติ จากนั้นบริษัทต่างๆ จะมีเวลา 3 ถึง 5 ปี นับจากการมีผลบังคับใช้ของข้อกำหนด ในการปฏิบัติตามขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท
03 UN Global Compact จะช่วยคุณได้อย่างไร?
สัปดาห์ที่ผ่านมา UN Global Compact ได้จัดการประชุม ‘UN Global Compact: Catalyst for EU Corporate Sustainability and Competitiveness’ เกี่ยวกับการเร่งปฏิกิริยาในการสร้างความยั่งยืนและความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทในสหภาพยุโรปขึ้นที่รัฐสภายุโรปในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม รับชมการประชุมเต็มได้ ที่นี่
การประชุมประกอบไปด้วยสมาชิกรัฐสภายุโรป ตัวแทนคณะกรรมาธิการยุโรป บริษัทและผู้นำจาก UN Global Compact Networks ในยุโรป เพื่อหาวิธีที่ UN Global Compact และเครือข่ายท้องถิ่นจะสามารถช่วยสถาบันและประเทศสหภาพยุโรปในการสนับสนุนบริษัทต่างๆ ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่อย่าง CSDDD หรือ Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD)
UN Global Compact ต้องการช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ให้ไม่เพียงแค่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเท่านั้น แต่ยังต้องการช่วยให้การดำเนินธุรกิจดีขึ้น สร้างผลกระทบเชิงบวก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้นด้วย
โดย UN Global Compact มีเครื่องมือและทรัพยากรที่จะช่วยให้บริษัทต่างๆ สร้างความแตกต่างได้อย่างแท้จริงในโลกและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ข้อกำหนด CSDDD ไม่เพียงมีผลบังคับใช้ต่อบริษัทในสหภาพยุโรป แต่ยังมีผลกระทบต่อบริษัทต่างชาติรวมถึงภาคเอกชนของไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานรวมถึงมีรายได้ในสหภาพยุโรปด้วย
และไม่เพียงแค่ข้อกำหนด CSDDD เท่านั้น บนเส้นทางสู่ความยั่งยืนและเป็นกลางต่อสภาพภูมิอากาศภายในปี 2050 ของเศรษฐกิจแห่งสหภาพยุโรป จะมีข้อกำหนดและข้อบังคับอื่นๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ EU Green Deal ตามมาอีกมากมาย
ดังนั้นคุณต้องศึกษาระเบียบข้อบังคับ สร้างกลไกรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น รวมถึงทำให้แน่ใจว่าบริษัทของคุณรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่ละเมิดกติกาสากล ซึ่งจะทำให้มีแต้มต่อทางการแข่งขันในอนาคตอย่างชัดเจน