ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่กำลังเกิดขึ้นจริงกับหลายบริษัทในประเทศไทยที่เลือกลงทุนเพื่อความยั่งยืนและได้ผลตอบแทนกลับมาเป็น “กำไร” ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ ลองดูตัวอย่างรอบตัวเรา เช่น CP ลงทุนในฟาร์มหมูปลอดคาร์บอนและลดพลาสติกตลอดห่วงโซ่, บางจากสร้างปั๊มน้ำมันที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์, ปตท. ขยายสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและรถ EV, ทรูเปลี่ยนระบบสื่อสารให้ใช้พลังงานสะอาด , หรือแม้แต่ Big C ที่ลดการใช้ถุงพลาสติกและปรับระบบขนส่งให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น ทุกตัวอย่างนี้ไม่ได้ทำเพื่อแค่ดูดี แต่ทำเพราะ “มันคุ้ม”
แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือ ESG หรือ Environmental, Social, and Governance หรือการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล ซึ่งกำลังกลายเป็น “มาตรฐานใหม่ของโลก” ที่หลายประเทศเริ่มใช้กฎหมายรองรับ เช่น สหภาพยุโรปที่ออกกฎหมาย CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เพื่อจัดเก็บภาษีคาร์บอน หากสินค้านำเข้ามีการปล่อย CO₂ เกินมาตรฐาน ใครปรับตัวไม่ทันอาจต้องจ่ายภาษีเพิ่ม หรืออาจขายสินค้าไปยังต่างประเทศไม่ได้เลย
ผลกระทบนี้ไม่ได้จบแค่บริษัทขนาดใหญ่ แต่มันลามไปทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่โรงงานผลิตชิ้นส่วน เกษตรกร ผู้ส่งออก ไปจนถึง SME ที่อยู่ในสายการผลิตเดียวกัน หากคุณอยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าโลก การเพิกเฉยต่อเรื่องนี้อาจหมายถึงการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ในขณะเดียวกัน นี่คือโอกาสทองของคนรุ่นใหม่ ธุรกิจที่ปรับตัวเร็วจะได้เปรียบทั้งในด้านต้นทุน การเข้าถึงตลาด และความน่าเชื่อถือจากผู้บริโภค นักลงทุน และพันธมิตร และไม่ใช่แค่เจ้าของธุรกิจเท่านั้นที่ควรตื่นตัว คนทำงานรุ่นใหม่ที่เข้าใจ ESG และ SDGs จะกลายเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน เพราะทักษะด้านความยั่งยืนกำลังเป็น “ภาษากลาง” ใหม่ในโลกธุรกิจ
ESG ไม่ใช่แค่แนวโน้มชั่วคราว แต่มันคือทิศทางใหญ่ของโลก ที่จะกำหนดว่าใครจะอยู่รอด ใครจะเติบโต และใครจะถูกลืม แล้วคุณล่ะ…จะเลือกเป็นผู้นำเกมนี้ หรือเป็นเพียงผู้ตามที่วิ่งไล่ไม่ทันกติกาใหม่ของโลกใบนี้?
ผลงานของ SDGs Young Creator จากทีม Gen.S