ในปัจจุบัน เทคโนโลยีการเชื่อมต่อและเครือข่ายดิจิทัลเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษา แต่เยาวชนในพื้นที่ชนบทของประเทศไทยจำนวนมากยังเผชิญอุปสรรค ทั้งการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ระบบไฟฟ้าที่ไม่เสถียร ทรัพยากรดิจิทัลที่จำกัด และการขาดโอกาสเชื่อมโยงกับโลกภายนอก ความท้าทายเหล่านี้ไม่เพียงกระทบต่อการเรียนรู้ แต่ยังจำกัดการพัฒนาของชุมชนในยุคดิจิทัล


หัวเว่ย ประเทศไทย เล็งเห็นถึงความท้าทายดังกล่าว จึงได้ริเริ่มโครงการ Green Education Initiative ร่วมกับ ยูเนสโก และ กระทรวงศึกษาธิการ โดยมุ่งบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเข้ากับระบบการศึกษา ผ่านการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 11 แห่งในโรงเรียนและศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เพื่อสร้างแหล่งพลังงานสะอาดและเสถียร สนับสนุนการเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เหล่านี้ยังทำหน้าที่เปรียบเสมือนสถานที่เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมจริงสำหรับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ เสริมสร้างความมั่นใจและความชำนาญให้แก่ผู้เรียนให้สามารถรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ขยายแนวทางการเรียนรู้ดิจิทัลผ่านโครงการ Open School for All โดยติดตั้งห้องเรียนอัจฉริยะ 10 ห้อง พร้อมด้วย Huawei IdeaHub จออัจฉริยะ และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ครูและนักเรียนเข้าถึงเครื่องมือการเรียนการสอนที่ทันสมัย
เพื่อให้เข้าถึงพื้นที่ห่างไกลมากยิ่งขึ้น หัวเว่ยได้ริเริ่มโครงการ Digital Bus ห้องเรียนเคลื่อนที่บนรถบัสที่ติดตั้งอุปกรณ์ไอทีครบครัน นำความรู้ด้านทักษะดิจิทัล การใช้พลังงานสะอาด การป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ และความรู้ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมไปสู่โรงเรียนและชุมชน โดยมีนักเรียนกว่า 5,000 คนใน 23 จังหวัด เข้าร่วมแล้ว
ในระดับโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้โครงการ USO Net ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้บูรณาการนวัตกรรมโซลูชันของหัวเว่ยในการวางสายเคเบิลไฟเบอร์ออพติกเพื่อเชื่อมโยงหมู่บ้านกว่า 19,600 แห่ง ให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ การซื้อขายออนไลน์ และบริการการแพทย์ทางไกลได้อย่างเท่าเทียม
หัวเว่ย ประเทศไทย จึงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสร้างศักยภาพ สร้างโอกาส ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของหัวเว่ยในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ทุกคน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อขับเคลื่อนโลกอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ
