ที่ผ่านมาธุรกิจนำคำว่า “ความยั่งยืน” มาต่อท้ายเป้าหมายองค์กร ทั้งที่คนทำธุรกิจจำนวนไม่น้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความยั่งยืนคืออะไร ความท้าทายในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป บังคับให้ธุรกิจต้องเรียนรู้เรื่องความยั่งยืนอย่างลึกซึ้งและไม่ฉาบฉวย เพื่อให้องค์กรรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ไปให้ได้
นักลงทุนเรียนรู้ว่าธุรกิจที่มุ่งเน้นแต่การทำกำไร ไม่สนใจสังคมและความท้าทายรอบด้านที่กำลังก่อตัวขึ้น ไม่อาจรับมือ ดำเนินธุรกิจ และสร้างผลกำไรระยะยาวต่อไปได้ ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจเติบโตและคงความแข็งแกร่ง ภาคเอกชนต้องคำนึงมากกว่าแค่ตัวเลขผลประกอบการ
หลายปีที่ผ่านมา ESG มีบทบาทและเป็นที่กล่าวถึงมากขึ้นเรื่อยๆ มันสัมพันธ์อย่างไรกับการสร้าง “ความยั่งยืน” ให้เกิดขึ้นกับองค์กร ทำไมมันจึงเป็นทางรอดของธุรกิจ และเพื่อทำให้ ESG เกิดขึ้นจริงได้ ผู้นำธุรกิจควรตั้งกลยุทธ์ วางวิสัยทัศน์ และเริ่มลงมือทำอย่างไร?
01 ความท้าทายที่เปลี่ยนโลกธุรกิจ
ภาวะโลกรวนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงมากมาย หลายสิ่งที่เคยอธิบายได้ก็อธิบายไม่ได้ โลกอ่อนแอลง เศรษฐกิจชะลอตัว เกิดวิกฤตซ้อนวิกฤต ปัญหาสังคมรุนแรง ธรรมาภิบาลก็บิดเบี้ยว
ESG คือทางรอดของธุรกิจ เพราะเป็นกรอบการบริหารจัดการที่ใช้ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย ESG คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก
การรวมปัจจัย ESG เข้ากับการดำเนินธุรกิจไม่เพียงนำไปสู่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคมและการกำกับดูแลกิจการที่ดีขึ้น แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพทางการเงินและมูลค่าระยะยาวให้กับบริษัท
ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกใช้ ESG พิจารณาประกอบการลงทุน เพื่อประเมินความยั่งยืน และความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของบริษัท ESG คือกติกาใหม่ในการทำธุรกิจ ซึ่งหลายประเทศก็เริ่มกำหนดให้ ESG เป็นมาตรฐานและหลักปฏิบัติในการดำเนินงานแล้ว
เช่น การจัดทำนโยบายธรรมภิบาลการลงทุนของสหราชอาณาจักร (UK Stewardship Code) ซึ่งกำหนดให้นักลงทุนสถาบันเปิดเผยการนำ ESG มาประกอบการตัดสินใจในการลงทุน โดยต่อมา Stewardship Code ได้กลายเป็นต้นแบบที่หลายประเทศนำไปอ้างอิง ทั้งญี่ปุ่น มาเลเซีย และแอฟริกาใต้
ขณะเดียวกันในมุมของผู้บริโภค ความต้องการของตลาดส่วนใหญ่ได้ให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากผู้คนเริ่มตระหนักถึงผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการตัดสินใจซื้อมากขึ้น โดยผลสำรวจของ McKinsey เมื่อปีที่ผ่านมาพบว่า 37 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคชาวยุโรปใส่ใจเรื่องความยั่งยืนอย่างลึกซึ้ง พวกเขายินดีจ่ายเงินแพงขึ้น เพื่อซื้อสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าและผลิตอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม
02 มูลค่าและคุณค่าของ ESG
การลงทุนที่คำนึงถึง ESG ให้ผลตอบแทนดีแค่ไหน? นี่คือคำถามใหญ่ในใจนักลงทุนรวมถึงผู้นำธุรกิจ
Moore Global สำรวจความคิดเห็นผู้นำธุรกิจ 1,262 แห่ง ในประเทศออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ เกี่ยวกับ ESG และดำเนินงานของธุรกิจ พบว่าระหว่างปี 2019 และ 2020 ซึ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG มีผลกำไรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 9.1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบริษัทที่เพิกเฉยต่อ ESG มีกำไรเพิ่มขึ้น 3.7 เปอร์เซ็นต์
โดย 80 เปอร์เซ็นต์ ของผู้นำธุรกิจกล่าวว่า ESG สำคัญมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยโควิด-19 เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด
ข้อมูลจาก MSCI ESG Research หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือในด้านดัชนี ESG ระดับนานาชาติ ระบุว่าจากการประเมินความสามารถในการบริหารความเสี่ยงด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลของบริษัทต่างๆ ออกมาเป็นคะแนน MSCI ESG Rating
บริษัทที่ได้รับการประเมินอยู่ในระดับ Leader ทำกำไรได้ดีกว่าบริษัทในระดับ Average และ Laggard อย่างมีนัยยะสำคัญ สำหรับประเทศไทย บางจากเป็นบริษัทรายเดียวที่ได้รับการประเมิน MSCI ESG Rating ที่ระดับ AA (ระดับ Leader) นับเป็นระดับสูงสุดขององค์กรไทยในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุอีกด้วยว่าบริษัทที่ทำธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG ทั้ง 3 มิติ แบบครอบคลุม มีผลตอบแทนที่สูงกว่าบริษัทที่คำนึงถึงเรื่อง E หรือ S หรือ G เพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
แม้มูลค่าการลงทุนในสินทรัพย์ที่มุ่งเน้นเรื่อง ESG ของไทยยังต่ำกว่าทวีปยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนือ แต่ก็นับว่ากำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านมาไทยเพิ่งเริ่มเดินหน้าดำเนินงานด้าน ESG และส่วนใหญ่จะเน้นไปที่มิติการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (E) มากกว่าการจัดการทางสังคม (S) ซึ่งเป็นมิติที่มีสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา UN Global Compact และที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี Accenture ออกรายงาน CEO Study ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้นำธุรกิจทั่วโลกเกี่ยวกับความยั่งยืน ประกอบไปด้วยซีอีโอและเจ้าของบริษัทกว่า 2,600 คน จาก 18 อุตสาหกรรมใน 128 ประเทศ ข้อมูลจากรายงานดังกล่าวระบุถึงการเพิ่มขึ้นของการจัดการทางสังคม (S) ใน ESG ที่ปัจจุบันกำหนดบทบาทใหม่ให้ธุรกิจทั่วโลก
โดย 91 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำธุรกิจที่เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น เชื่อว่าบทบาทของพวกเขาคือการปกป้องชุมชนท้องถิ่น ในภูมิภาคที่บริษัทของพวกเขากำลังดำเนินงานอยู่ ซึ่งอาจคร่อมเส้นแบ่งระหว่างความรับผิดชอบของภาครัฐและเอกชน
"บทบาทของซีอีโอไม่ใช่เพียงการบรรลุเป้าหมายและกิจกรรมของบริษัทอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมเชิงบวกของบริษัทกับชุมชนที่กว้างขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับโลก” Lara Olsen กรรมการผู้จัดการของบริษัทจัดหาน้ำดื่ม South East Water ให้ความคิดเห็น
03 ESG ที่หล่อหลอมอยู่ในกระบวนการทำธุรกิจ
แม้จะเป็นการดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน แต่แก่นแท้ของ ESG นั้นต่างจาก CSR (Corporate Social Responsibility) ซึ่งบริษัทในประเทศไทยคุ้นเคยกันดีอย่างสิ้นเชิง
CSR คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่สะท้อนออกมา ผ่านกิจกรรมไม่แสวงหาผลกำไรนอกเหนือธุรกิจหลัก ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรต้องการพัฒนาสังคมด้านไหน ต่างจาก ESG ซึ่งเป็นกรอบการบริหารจัดการที่จะฝังอยู่ในแนวคิดและวิธีดำเนินธุรกิจ รวมถึง Business Model ขององค์กรนั้นๆ
เช่น Patagonia บริษัทเสื้อผ้าและอุปกรณ์กลางแจ้งที่มีชื่อเสียงอย่างมากในการรวม ESG เข้าในกระบวนการต่างๆ ของธุรกิจ
หรือในประเทศไทย บริษัทกระเบื้องตราเพชร (DRT) ได้ปรับกระบวนการผลิตใหม่ โดยนำฝุ่นซึ่งเป็นของเสียจากการผลิตกระเบื้อง มาอัด-ขึ้นรูปใหม่เป็นอิฐตัวหนอน เพิ่มรายได้ 4 ล้านบาท รวมถึงนำเศษกระดาษใช้แล้วมาเยื่อกระดาษ ซึ่งช่วยลดต้นทุนถึง 25 ล้านบาทต่อปี
สำหรับผู้นำธุรกิจ คำถามเกี่ยวกับ ESG ในปัจจุบันไม่ใช่ What & Why อีกต่อไป แต่เป็น How & When เพราะโจทย์ไม่ใช่การสร้างความตระหนัก แต่คือการเร่งลงมือทำเพื่อแข่งกับเวลา นับวันกฎกติกาด้าน ESG มีแต่จะเปลี่ยนไปหรือเพิ่มขึ้น ผู้ที่เข้าใจและลงมือทำเพื่อรับมือและคว้าโอกาสใหม่ๆ ด้าน ESG ก่อน ย่อมมีความได้เปรียบกว่าในสนามการค้า
การประวิงเวลาหรือหลีกเลี่ยงการริเริ่มงานด้าน ESG มีแต่จะทำให้องค์กรเสียโอกาสและความได้เปรียบ ไม่ว่าจะในแง่การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้ห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนการเตรียมรับมือกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
นอกจากนี้บริษัทยังมีโอกาสจะถูกกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ เสียโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุน รวมถึงเสียโอกาสในการเสริมสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของแบรนด์แก่ผู้บริโภคอีกด้วย อย่างเช่นกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
04 ความมุ่งมั่นด้าน ESG ที่มีหลายระดับ
บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ McKinsey & Company นำเสนอวิธีเริ่มต้นดำเนินงานด้าน ESG สำหรับบริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งแม้จะอยู่ภายใต้บริบทที่ไม่เหมือน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ “วิสัยทัศน์” ต่อการรับมือกับความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยปัจจุบันแนวปฏิบัติด้าน ESG สามารถจัดกลุ่มได้ 3 ระดับตามความมุ่งมั่นและลงมือทำ
ระดับที่ 1 Minimum Practice บริษัทสามารถเริ่มลงมือทำได้ทันทีโดยไม่มีความเสี่ยงสูง
ระดับที่ 2 Common Practice บริษัทเริ่มนำ ESG ไปปรับใช้ในส่วนต่างๆ ของธุรกิจมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่นอกเหนือไปจากธุรกิจหลัก
ระดับที่ 3 Next Level Practice บริษัทนำ ESG ฝังเข้าไปใช้ในกลยุทธ์ และผสมผสานอยู่ในการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ
หนึ่งในองค์กรไทยที่โดดเด่นคือบริษัท SCG ซึ่งดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องมายาวนาน มีความมุ่งมั่นและลงมือทำด้าน ESG ทั้ง 3 มิติ แบบครอบคลุม
05 ทำอย่างไร ESG จึงจะเกิดขึ้นได้จริง?
McKinsey & Company ระบุว่า การเดินหน้าด้าน ESG จำเป็นต้องพิจารณาความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสังคมในวงกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลกระทบภาพนอก เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งทำให้การดำเนินการ ESG เป็นไปด้วยความท้าทายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทต่างๆ ควรมุ่งเน้นไปที่กระบวนการของ ESG มากกว่ามองแค่ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น โดยมีแนวปฏิบัติ 4 ขั้นตอนที่บริษัทสามารถนำไปให้เป็นแนวทางในการดำเนินการ ESG ได้
ขั้นตอนที่ 1 ทำแผน (Mapping)
ขั้นตอนที่ 2 กำหนดรูปแบบ (Defining)
ขั้นตอนที่ 3 ฝัง ESG เข้าไปในองค์กร (Embedding)
ขั้นตอนที่ 4 สร้างการมีส่วนร่วม (Engaging)