ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจส่วนใหญ่มุ่งเน้นการทำ CSR (Corporate Social Responsibility) การรับผิดชอบต่อสังคมในองค์กร แต่โครงการ Central Tham ของ กลุ่มเซ็นทรัล เกิดจากแนวคิดว่าการดำเนินธุรกิจให้เกิดความยั่งยืนควรจะส่งเสริมการแชร์ ‘คุณค่า’ (Value) ร่วมกับสังคมจนเกิดเป็นการ ดำเนินงานภายใต้แนวคิด CSVs (Creating Shared Values) การสร้างคุณค่าร่วมเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ของคนให้ดียิ่งขึ้น และเติบโตไปพร้อมกับเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน
จุดเริ่มต้นโครงการ Central Tham และการสร้างคุณค่าร่วมกับชุมชน
คุณอัจฉรา วิสุทธิวงศ์รัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด สื่อสารองค์กร และความยั่งยืน และ คุณอนาวิน ตั้งพงศ์ไพบูลย์ ผู้บริหารสายงานกลยุทธ์และความยั่งยืนของกลุ่มเซ็นทรัล อธิบายถึงจุดเริ่มต้นของโครงการ Central Tham ที่เกิดจากแนวคิด Centrality การรวมพลังทุกหน่วยงานของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อดึงศักยภาพและความเชี่ยวชาญของกลุ่มบริษัทมาดำเนินธุรกิจในเชิงคุณภาพที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคมได้ โดยสร้างความร่วมมือกันระหว่าง บริษัท ชุมชน และลูกค้าทำเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปในทิศทางเดียวกัน
แนวทางการสร้างคุณค่าร่วมกับชุมชน มาจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการลงมือทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และสร้างสังคมที่ดีกว่าเดิม จึงเป็นที่มาของความตั้งใจในการสร้างพลังของการร่วมลงมือทำจนออกมาเป็นแท็กไลน์ ‘ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ’ สะท้อนผ่านชื่อ Central Tham คำว่า ทำ (Tham) คือ การลงมือทำ (Taking Action) หรืออีกหนึ่งความหมายแปลว่า ธรรมะ ที่ทำเพื่อประโยชน์และสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน สร้างอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ ต่อยอดและพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
แนวทางการพัฒนาความยั่งยืนของ Central Tham ให้ความสำคัญกับประเด็น ดังต่อไปนี้

1.โครงการต้องสามารถส่งต่อคุณค่าในระยะยาว โดยส่งเสริมให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเอง มีอาชีพ สร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคง
2.เน้นที่คุณภาพของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าปริมาณ โดยพิจารณาว่าโครงการสามารถสร้างคุณค่าอย่างไรแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง
3.มองในมุมลูกค้าหรือผู้ที่เกี่ยวข้องว่าได้รับอะไรจากโครงการ
โดยแผนลงมือปฏิบัติ Central Tham ใช้ความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจค้าปลีก เข้าไปเสริมสร้างความสามารถของชุมชน เพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาตนเองเป็นพื้นที่เรียนรู้ ต่อยอดเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยทุกโครงการผ่านการร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน (Collective Action) ตลอดกระบวนการ
โครงการวิถีชีวิตยั่งยืน แม่ทา

คุณอัจฉราและคุณอนาวินได้ยกตัวอย่าง โครงการวิถีชีวิตยั่งยืน แม่ทา จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านจากการทำเกษตรเคมีสู่เกษตรอินทรีย์ โดยมีจุดเริ่มต้นจากเกษตรกรที่เล็งเห็นถึงผลกระทบด้านสุขภาพ คนเป็นโรคมะเร็งจากการใช้สารเคมี จึงได้ปฏิวัติปรับเปลี่ยนการทำเกษตรมาเป็น เกษตรอินทรีย์ และจัดตั้งเป็นสหกรณ์เพื่อการทำงานที่เป็นระบบและมีอำนาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลางในการซื้อขายผลผลิตทางการเกษตร
Central Tham เข้าไปสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นการเสริมศักยภาพชุมชนโดยไม่ทำลายอัตลักษณ์และธรรมชาติ ตั้งแต่การดูแลเมล็ดพันธุ์ การทำโรงเรือน การปรับปรุงอาคารคัดบรรจุผัก สนับสนุนรถห้องเย็นเพื่อจัดส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ทั้งยังช่วยปรับแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น
การสร้างแบรนด์แม่ทา ออร์แกนิค การแปรรูปมันหวานญี่ปุ่นอบกรอบ การแปรรูปซอสมะเขือเทศออร์แกนิก รวมถึงช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และการขอมาตรฐาน อย. เพื่อให้สินค้าสามารถจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำหรือช่องทางอื่นๆ ได้ภายใต้แบรนด์ของชุมชนเอง
นอกจากการทำเกษตรอินทรีย์แบบครบวงจรแล้ว โครงการยังมุ่งเน้นการจ้างงานคนพิการ การจัดการขยะในชุมชน การพัฒนาโฮมสเตย์ต้นแบบ และการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งความสำเร็จนี้ส่งผลให้ชุมชนได้รับรางวัล STAR-SUSTAINABLE TOURISM ACCELATION RATING ด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รวมถึงมีสมาชิกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และสามารถพัฒนาชุมชนได้อย่างมั่นคง
ตัวชี้วัดความสำเร็จของ Central Tham

ปัจจุบัน Central Tham ส่งเสริมชุมชนต้นแบบทั้งหมด 13 โครงการ โดยมุ่งเน้นลดความเลื่อมล้ำ พัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและดูแลสิ่งแวดล้อม โดยผลการดำเนินงานในปี 2567 โครงการได้สร้างงานและสนับสนุนอาชีพให้คนพิการ 1,100 คน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนกว่า 1,700 ล้านบาท สนับสนุนชุมชนกว่า 150,000 ครัวเรือน เพิ่มพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูป่า 19,385 ไร่ และ ลดขยะจากการรีไซเคิลและการนำมาใช้ปรโยชน์กว่า 43,663 ตัน
ทั้งนี้ คุณอัจฉรา เผยถึงความรู้สึกจากการร่วมขับเคลื่อนโครงการ Central Tham ว่าจากเดิมที่คนไม่ค่อยรู้จักสินค้าจากโครงการ จนมาถึงทุกวันนี้ที่ได้รับความสนใจในวงกว้าง มีตัวชี้วัดคุณภาพที่สำคัญคือ การส่งเสริมชุมชนให้สามารถต่อยอดธุรกิจได้ด้วยตนเอง
“สิ่งหนึ่งที่เรามีความสุขในการทำงาน คือการได้เห็นแต่ละชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พวกเขามีความสุข และทีมงานทุกคนก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำ เรารู้สึกภูมิใจที่สามารถทำให้หลากหลายคน หลากหลายอาชีพมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยิ่งเฉพาะคนพิการ จากที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง จนทุกวันนี้ต่างมีอาชีพและมีความเป็นอยู่ที่ดี”