Image by Quân Lê Quốc from Pixabay
คลื่นความเปลี่ยนแปลงจาก EU
หลายปีที่ผ่านมาสหภาพยุโรปดำเนินการอย่างก้าวกระโดดเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะเป้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เช่น การกำหนด European Green Deal ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2019 โดยแผนการปฏิรูปสีเขียวของสหภาพยุโรปนี้ประกอบด้วยกลยุทธ์และมาตรการที่หลากหลาย
หนึ่งในมาตรการที่ได้รับการจับตามองจากทั่วโลก คือการที่สหภาพยุโรปเริ่ม CBAM หรือ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Cross-Border Carbon Adjustment Mechanism) ซึ่งจะทำการเก็บภาษีนำเข้าจากผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนสูงในกระบวนการผลิต โดยมาตรการนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มอุตสาหกรรมในสหภาพยุโรปซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมสูงกว่าทวีปอื่นๆ ด้วย
ก้าวใหม่ของภาษีคาร์บอนไทย
มาตรการ CBAM ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าของสหภาพยุโรปทั่วโลกต้องปรับตัวและปฏิบัติตามกฏนี้ รวมถึงประเทศไทยที่มีผู้ประกอบการจำนวนมากส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป กรมสรรพสามิตไทยจึงเตรียมใช้ ภาษีคาร์บอน เป็นกลไกภาคบังคับเพื่อตามคลื่นความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศโลกและหวังให้ผู้ส่งออกนำอัตราภาษีคาร์บอนนี้ไปใช้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมCBAMรูปแบบของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนจะนําปริมาณคาร์บอนส่วนเกินมาคํานวณกับอัตราภาษีคาร์บอน ซึ่งแต่ละประเทศจะมีฐานภาษีที่แตกต่างกันไป และส่วนใหญ่จะแบ่งประเภทของภาษีออกเป็น 2 ปะเภทคือ
จากการคาดการณ์ ภาษีคาร์บอนของไทยจะสามารถบังคับใช้ได้เร็วที่สุดภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 หรือ ค.ศ. 2025 เพื่อให้ทันการบังคับใช้ CBAM ระยะถาวรในปี ค.ศ. 2026
ปัจจุบันอัตราภาษีคาร์บอนของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกันสำหรับประเทศไทยคาดว่าในระยะแรกจะกำหนดราคากลางที่200บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างไรก็ตาม ราคากลางนี้เป็นระดับที่ IMF มองว่าต่ำเกินไปที่จะช่วยลดการปล่อยมลพิษลงได้ เมื่อเทียบกับราคาคาร์บอนของสหภาพยุโรป (EU ETS) ที่มีอัตราประมาณ 2,700 บาท ต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์
ในระยะแรกการเก็บภาษีคาร์บอนนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เนื่องจากเป็นการแปลงภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่เก็บอยู่แล้วให้ไปผูกติดกับภาษีคาร์บอน โดยปัจจุบันกรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีจากน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 6.44 บาทต่อลิตร และเก็บภาษีจากน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 6.50 บาทต่อลิตร โดยตัวเลขการปล่อยคาร์บอนของน้ำมันดีเซล 1 ลิตร อยู่ที่ 0.0026987 ตันคาร์บอน ขณะที่น้ำมันเบนซิน 1 ลิตร ปล่อยคาร์บอนอยู่ที่ 0.0021816 ตันคาร์บอน
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าการเดินหน้าของประเทศไทยในระยะแรกนี้นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการปรับใช้ภาษีคาร์บอนโดยใช้หลักการแปลงภาษีสรรพสามิตที่เดิมมีการผูกกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่แล้ว เช่น ภาษีน้ำมัน ภาษีรถยนต์ ให้อยู่ในรูปของภาษีคาร์บอน ซึ่งไม่สร้างภาระทางภาษีเพิ่มแก่ประชาชน และสามารถให้ผู้ส่งออกใช้ประโยชน์ในระหว่างรอกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ภาคบังคับจาก พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นตามมา
โดย พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของไทยที่จะเป็นกฎหมายเพื่อกำหนดกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับในรูปแบบระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme หรือ ETS) คาดการณ์ว่าจะบังคับใช้ได้ในปี พ.ศ. 2572 หรือ ค.ศ. 2029
Image by wal_172619 from Pixabay
มาตรการ CBAM สร้างความท้าทายและโอกาสต่อทุกภาคส่วนทั่วโลก อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงคลื่นระลอกแรกๆ ผู้ประกอบการไทยตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะตามมาอย่างต่อเนื่อง ยุคของภาษีคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว