ธุรกิจไทยต้องปรับตัว สิ้นปีนี้ EU เริ่มแบนสินค้าเข้าข่ายทำลายป่าตามกฏหมาย EUDR

Article

90 เปอร์เซ็นต์ของการตัดไม้ทำลายป่า เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการผลิตสินค้าต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ โกโก้ ช็อกโกแลต ไปจนถึงไม้ เฟอร์นิเจอร์ และกระดาษ แม้ที่ผ่านมาจะมีความพยายามในการหยุดซื้อ–ขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า แต่ความพยายามเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำให้อัตราการหายไปของป่าลดลงได้ เนื่องจากขาดความโปร่งใสและความสามารถในการติดตามห่วงโซ่อุปทาน

Photo by Janusz Maniak on Unsplash

สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งนำเข้าผลิตภัณฑ์เกษตรที่มีความเสี่ยงต่อป่าไม้เป็นอันดับสองของโลก รองจากประเทศจีน จึงตัดสินใจแก้ปัญหานี้ด้วยการประกาศใช้ กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation Regulation หรือ EUDR)  โดย EUDR จะมีผลบังคับให้บริษัทต่างๆ ตรวจสอบและประเมินสินค้าของตน เพื่อรับประกันว่าผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาจำหน่าย เช่น ถั่วเหลือง เนื้อวัว น้ำมันปาล์ม ไม้ โกโก้ กาแฟ และยางพารา มาจากแหล่งที่ไม่ก่อให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าหรือการเสื่อมโทรมของป่า

EUDR เป็นส่วนหนึ่งของ European Green Deal ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2023 และจะมีผลเต็มรูปแบบในวันที่ 30 ธันวาคม 2024 แนวทางการจัดหาและการผลิตสินค้าทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และผู้ประกอบการจะต้องเตรียมพร้อมต่อการตรวจสอบอย่างไรให้ธุรกิจยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น GCNT ชวนอ่านบทความว่าด้วยประเด็นนี้กัน

ภัยคุกคามจากการตัดไม้ทำลายป่า
การตัดไม้ทำลายป่าและการเสื่อมโทรมของป่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจึงถือเป็นหนึ่งในภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงที่สุดโดยป่าเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชนานาพันธุ์และมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

ทุกปี ทั่วโลกสูญเสียพื้นที่ป่าไปหลายล้านไร่ เพื่อเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม เหมือง ไร่ปาล์มน้ำมัน และพื้นที่ปศุสัตว์ การหายไปของป่าส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ ชีวิต และการดำรงชีพของผู้คนนับล้านทั่วโลก ข้อมูลจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่าระหว่างปี 1990 ถึง 2020 โลกสูญเสียพื้นที่ป่าไปมากกว่า 2,500 ล้านไร่ ซึ่งมากกว่าพื้นที่ของสหภาพยุโรปเสียอีก

นอกจากนี้ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ยังได้ประมาณการว่ามากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดระหว่างปี 2007 ถึง 2016 เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า และการปล่อย CO2 เพิ่มเติมที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่ายังเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อพื้นที่ป่าลดลง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ป่าดูดซับและกักเก็บได้โดยรวมก็ลดลงด้วย

Photo by Pablo García Saldaña on Unsplash

ความพยายามครั้งสำคัญของ EU
กฏหมาย EUDR ที่เกิดขึ้นนับเป็นความพยายามครั้งสำคัญของสหภาพยุโรปในการต่อกรกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการลดผลกระทบจากการทำลายป่าในระดับโลก

สหภาพยุโรปเป็นผู้บริโภคสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อป่าไม้รายใหญ่ หากไม่มีการกำหนดกฎระเบียบ การบริโภคและการผลิตเนื้อวัว โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง และไม้ คาดการณ์ว่าเฉพาะในสหภาพยุโรปเพียงภูมิภาคเดียวจะส่งผลให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ประมาณ 1,488,000 ไร่ต่อปี ภายในปี 2030

กฎหมายและแผนริเริ่มระดับนานาชาติที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น FOREST Act ของสหรัฐอเมริกา, Joint Declaration on Enhancing Climate Action ของจีนและสหรัฐอเมริกา, และ UK Environment Act ของสหราชอาณาจักร ต่างมุ่งเป้าไปที่การห้ามหรือจำกัดการตัดไม้ทำลายป่าและการค้าที่ “ผิดกฎหมาย” เท่านั้น แต่ EUDR นั้นจะก้าวไปอีกขั้น โดยห้ามผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการตัดไม้ทำลายป่าทั้งที่ “ผิดกฎหมาย” และ “ถูกกฎหมาย”

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ EUDR
กฏหมาย EUDR ครอบคลุม 7 กลุ่มสินค้า คือ โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โค และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปของสินค้าเหล่านี้ เช่น หนัง สินค้าที่ทำจากยาง ยางรถยนต์ และผลิตภัณฑ์หรือเฟอร์นิเจอร์จากไม้ โดยสินค้าต้องผ่านเงื่อนไข 3 ประการ คือ
  • ปลอดการบุกรุก: สินค้าต้องไม่มาจากพื้นที่ที่มีการบุกรุกป่า หลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2020
  • เป็นไปตามกฏหมาย: สินค้าต้องมีกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและชนพื้นเมือง
  • ได้รับการตรวจาสอบย้อนกลับ: ต้องมีการตรวจสอบและประเมินสินค้า (Due Diligence) เพื่อพิสูจน์ว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์ไม่นำไปสู่การทำลายหรือการเสื่อมโทรมของป่า โดยต้องมีการดำเนินการตรวจสอบและประเมินใน 5 ส่วน คือ
การตรวจสอบแหล่งที่มา: บริษัทต้องติดตามแหล่งกำเนิดของสินค้าเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าผลิตจากพื้นที่ที่ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2020 โดยต้องระบุพิกัดภูมิศาสตร์ของที่ดินที่ใช้เพาะปลูก
- การเก็บข้อมูล: ธุรกิจต้องเก็บข้อมูลเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานและเอกสารที่ยืนยันสถานะว่าไม่ได้ผลิตในพื้นที่ที่มีการตัดไม้ทำลายป่าเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี และต้องแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบทันทีหากมีข้อมูลที่น่าสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
- การประเมินความเสี่ยง: บริษัทต้องประเมินความเสี่ยงโดยรวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน
- การลดความเสี่ยง: หากพบความเสี่ยง บริษัทต้องดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงลงมาให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เช่น สนับสนุนโครงการปลูกป่าใหม่ หากพบการละเมิดกฎระเบียบ บริษัทต้องถอนสินค้าออกจากการค้า หรือกำจัดสินค้าตามกฎหมายการจัดการขยะของสหภาพยุโรป
- ความโปร่งใสและการรายงาน: บริษัทขนาดใหญ่ต้องรายงานการปฏิบัติตามกฎระเบียบนี้ต่อสาธารณะทุกปี โดยสามารถรวมข้อมูลในรายงานของกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนด CSDDD
Photo by Simon Fanger on Unsplash

ระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่านของกฏหมาย EUDR มีผลบังคับใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2023 และซื้อขายในสหภาพยุโรปตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2024 ธุรกิจขนาดเล็กมีเวลาถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2025 ก่อนจะต้องปฏิบัติตามอย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับผลิตภัณฑ์ไม้ ซึ่งจะยังคงอยู่ภายใต้ EU Timber Regulation ที่มีอยู่แล้วจนถึงสิ้นปี 2027 และหลังจากนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2028 เป็นต้นไป EUDR จะบังคับใช้กับผลิตภัณฑ์ไม้ทั้งหมด ไม่ว่าจะผลิตขึ้นเมื่อใดก็ตาม​

กฏหมายใหม่กระทบไทยอย่างไร
ข้อมูลจากปี 2023 ไทยส่งออกสินค้าที่ถูกระบุไว้ภายใต้กฏหมาย EUDR ไปยังสหภาพยุโรปรวมมูลค่า 455.58 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบด้วย

  • ยางพารา 386.55 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • ไม้ 61.53 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • ปาล์มน้ำมัน 3.63 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • โกโก้ 3.48 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • กาแฟ 0.36 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • ถั่วเหลือง 0.02 ล้านเหรียญสหรัฐ

 แนวทางการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของกฏหมาย EUDR จำแนกความเสี่ยงการตัดไม้ทำลายป่าของประเทศต่างๆ ออกเป็น 3 ระดับ คือ ความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงมาตรฐาน และความเสี่ยงสูง บริษัทที่สามารถรับรองได้ว่าสินค้าทั้งหมดของตนมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ จะได้รับการยกเว้นจากการประเมินและลดความเสี่ยง (แต่ต้องเก็บข้อมูลผู้จัดหาสินค้าและลูกค้าที่เกี่ยวข้อไว้ เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่อุปทานได้หากจำเป็น)
รายชื่อประเทศและระดับความเสี่ยงกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมาธิการยุโรป สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศต้นทางส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป กฎหมาย EUDR จะส่งผลกระทบทั้งในเชิงลบและเชิงบวก

  • เชิงบวก ไทยมีโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น หากผู้ผลิตมีความพร้อมในการตรวจสอบและยืนยันที่มาของผลิตภัณฑ์มากกว่าคู่แข่ง
  • เชิงลบ นอกจากต้นทุนที่สูงขึ้นจากกระบวนการต่างๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นใหม่แล้ว ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากไม่ผ่านเกณฑ์ของกฏหมาย EUDR

Photo by Isuru Ranasinha on Unsplash

ยางพาราที่มีมูลค่าการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปเป็นอันดับหนึ่ง แม้พื้นที่ปลูกยางพาราของไทยกว่า 25 ล้านไร่ (83.3 เปอร์เซ็นต์) จากทั้งหมด 30 ล้านไร่ทั่วประเทศ จะได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีการบุกรุกป่าไม้ไทย แต่สวนยางพาราที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของ EUDR เช่น ผ่านเกณฑ์ FSC หรือ PEFC มีเพียง 6.4 แสนไร่ (2.1 เปอร์เซ็นต์)

ปัจจุบัน หน่วยงานหลายส่วนของไทยเริ่มเตรียมความพร้อมให้กับเกษตรกร เพื่อรับมือกับกฎหมาย EUDR โดยดำเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยระบุพิกัดภูมิศาสตร์และขอบเขตของแปลงปลูก ประกอบด้วยระบบลงทะเบียนแหล่งปลูกไม้ผ่านแอปพลิเคชัน e-TREE ของกรมป่าไม้ และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ผ่าน แอปพลิเคชัน RAOT GIS ของการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งกำลังยังอยู่ในช่วงพัฒนาและปรับปรุงระบบ

 

ข้อมูลอ้างอิง




 




ร่วมเปลี่ยนแปลงโลกกับเรา
UN Global Compact
Network Thailand
APPLY FOR MEMBERSHIP
เกี่ยวกับคุกกี้บนเว็บไซต์นี้
เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ เราใช้คุกกี้เพื่อเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพ และการใช้งานของเว็บไซต์เพื่อปรับปรุง ปรับแต่งเนื้อหา และโฆษณาตามความต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม และพัฒนาประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้ใช้ เงื่อนไขการใช้งานเว็บไซต์ และ นโยบายสิทธิส่วนบุคคล
Subscribe
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
คุณสามารถปรับแต่งการตั้งค่าคุกกี้ในแต่ละประเภทได้ดังต่อไปนี้
จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่จำเป็นต่อการให้บริการ
(Strictly Necessary Cookies)
เปิดใช้งานตลอดเวลา
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการบนเว็บไซต์ของเรา ซึ่งรวมถึงคุกกี้ที่จะช่วยให้ท่านสามารถเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยของเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้เพื่อการวัดผลการทำงานและฟังก์ชันการทำงานของเว็บไซต์
(Performance and Functionality Cookies)
คุกกี้ประเภทนี้จะถูกใช้เพื่อจดจำท่านเมื่อท่านกลับเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราอีกครั้ง ช่วยให้เราปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับท่านและจดจำการตั้งค่าของท่าน (เช่น ภาษาหรือภูมิภาคที่ท่านเลือก) แต่ไม่จำเป็นต่อการวัดผลการทำงานของเว็บไซต์
คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์หรือเพื่อการปรับแต่ง
(Analytical or Customization Cookies)
คุกกี้ประเภทนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการที่ผู้ใช้งานเข้าสู่เว็บไซต์และออกจากเว็บไซต์ เราใช้ข้อมูลนี้ในลักษณะของข้อมูลโดยรวมเพื่อช่วยให้เราปรับปรุงวิธีการทำงานของเว็บไซต์ หรือเพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของเราตามความสนใจของท่านได้