สำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมกับสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และสมาคมธนาคารไทย จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “หลักสูตรบรรษัทภิบาลต่อต้านการทุจริต” ประจำปี 2568
เมื่อวันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 09.00 น. นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรบรรษัทภิบาลต่อต้านการทุจริต ภายใต้โครงการขับเคลื่อนระบบเฝ้าระวังการทุจริตเชิงรุกในหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "ความสำคัญของผู้ประกอบการ นักลงทุน ในการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perception Index : CPI)" โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้แทนภาคเอกชนหรือนิติบุคคล จำนวน 60 คน เข้าร่วมการอบรมฯ ณ ห้องภาณุมาศ โรงแรมรอยัลริเวอร์ แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
การอบรมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว จัดขึ้นโดยกองป้องกันการทุจริตในภาครัฐ สำนักงาน ป.ป.ท. มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกจิตสำนึก สร้างค่านิยม และปรับฐานความคิดภาคเอกชนหรือนิติบุคคล ในการต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ โดยยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ สุจริต และลดโอกาสในเรื่องการจ่ายสินบนและการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานภาครัฐ โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย การบรรยายหัวข้อ "กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ให้สินบนในภาคเอกชนของนิติบุคคล กรณีการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่รัฐ และกรณีศึกษา" โดยนางสาวอนงนาต ชีวานันทกุล ผอ. กปท. 3 และการเสวนาในหัวข้อ "บทบาทของภาคเอกชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต และความรับผิดชอบต่อสังคม" มีผู้เข้าร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายเอกชัย เกษมสุขธวัช รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. นายสุมิทธิ์ เกศวพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบบริหารงานส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น สำนักงาน ก.พ.ร. ดร.ขวัญฤทัย ศิริพัฒนโกศล รองเลขาธิการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ได้รับมอบหมายจาก นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย และ ดร.เนติธร ประดิษฐ์สาร เลขาธิการและกรรมการบริหารสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย เป็นผู้แทนเข้าร่วมเสวนาในครั้งนี้ นายทศพร รัตนมาศทิพย์ คณะกรรมการพิจารณาให้การรับรองแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชน และนายกิตติเดช ฉันทังกูล ผู้อำนวยการองค์กรต่อต้านการคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดยมีนางสาวพรหมพรรณ สายทองคำ ผู้อำนวยการกองป้องกันการทุจริตในภาครัฐ เป็นผู้ดำเนินรายการ ต่อจากนั้น เวลา 14.30 น. นายเอกชัย เกษมสุขธวัช รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้มอบใบประกาศนียบัตร และปิดการอบรมฯในการเสวนา ผู้ร่วมเสวนาแต่ละท่านได้แสดงความคิดเห็นและนำเสนอประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยนายเอกชัย เกษมสุขธวัช จากสำนักงาน ป.ป.ท. ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบการแจ้งเบาะแสและความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลเพื่อนำไปสู่การตรวจสอบการทุจริต ส่วนนายกิตติเดช ฉันทังกูล จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจในกระบวนการอนุมัติอนุญาต และความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ ทางด้านนายทศพร รัตนมาศทิพย์ จากแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย ได้นำเสนอบทบาทของภาคเอกชนผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ CAC Change Agent Program ข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) และบทบาทของภาคเอกชนในการตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ขณะที่นายสุมิทธิ์ เกศวพิทักษ์ จากสำนักงาน ก.พ.ร. ได้นำเสนอความพยายามของภาครัฐในการลดกฎระเบียบที่ซับซ้อน การออกพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 และความพยายามในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและกระบวนการอนุมัติอนุญาตออนไลน์มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงด้านการทุจริต
ในการเสวนาดังกล่าว ดร.ขวัญฤทัย ศิริพัฒนโกศล รองเลขาธิการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย
ได้ยกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความท้าทายในการต่อต้านการทุจริตที่ภาคเอกชนกำลังเผชิญอยู่ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อการทุจริต ที่มักถูกมองว่าเป็น "ต้นทุนของการทำธุรกิจ" (cost of doing business)
"จากผลสำรวจดัชนีชี้วัดการทุจริตระดับโลก (Global Corruption Barometer) พบว่าร้อยละ 88 ของประชาชนมองว่าการทุจริตเป็นเรื่องที่ไม่ควรยอมรับ แต่ประมาณหนึ่งในสี่ของผู้ตอบแบบสำรวจยอมรับว่าได้จ่ายสินบนเพื่อเข้าถึงบริการสาธารณะในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นในภาคธุรกิจด้วย ที่แม้จะเห็นว่าการทุจริตเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ความท้าทายสำคัญจึงอยู่ที่การขยายเครือข่ายความร่วมมือในการต่อต้านการทุจริต การลดอุปทานของการทุจริต และการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนไม่นิ่งเฉยต่อการทุจริตที่เกิดขึ้น" ดร.ขวัญฤทัย กล่าว
นอกจากนี้ ดร.ขวัญฤทัย ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายความพยายามในการต่อต้านการทุจริตให้ครอบคลุมไปถึงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Integrity) และกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทางธุรกิจ (Business Procurement) โดยเฉพาะการเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคู่ค้า ซึ่งมักมีข้อจำกัดทั้งด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญในการจัดการกับปัญหาการทุจริต นอกจากนี้ ยังต้องให้ความสำคัญกับมาตรการการส่งเสริมคู่ค้าที่มีการดำเนินการต่อต้านการทุจริตที่จริงจัง และการตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับคู่ค้าที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต
อีกประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือความเชื่อมโยงระหว่างการทุจริตกับประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในบริบทของการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ ซึ่งความเสี่ยงด้านการทุจริตมักเกิดขึ้นในกระบวนการขอใบอนุญาตทำงาน และวีซ่า "หากเราต้องจัดลำดับความสำคัญและติดตามความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม สิ่งที่ควรเร่งดำเนินการคือการร่วมมือกันแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นภาระและไม่จำเป็นในกระบวนการขออนุญาต เช่น การพิจารณายกเลิกการรายงานตัวทุก 90 วัน ซึ่งเป็นช่องทางที่อาจก่อให้เกิดการทุจริตได้" ดร.ขวัญฤทัย กล่าว
ในตอนท้ายของการเสวนา ดร.ขวัญฤทัย ได้เรียกร้องให้มีการกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน (KPIs) ที่ชัดเจนสำหรับความพยายามในการต่อต้านการทุจริตของภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านการลดกฎระเบียบที่ซับซ้อนและลดขั้นตอนการขออนุญาตที่ไม่จำเป็น เพื่อลดจุดเสี่ยงต่อการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการเหล่านี้ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างการมีส่วนร่วมกับเยาวชนในการต่อต้านการทุจริต ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมที่โปร่งใสและปราศจากการทุจริตในอนาคต