ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในเรื่องชาติพันธุ์อย่างมาก ตั้งแต่กลุ่มไทยพื้นเมือง กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น กะเหรี่ยง ม้ง เย้า ลัวะ ปะโอ และอื่น ๆ ทั้งนี้ แม้ว่าตามหลักการรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว ทุกคนควรมีสิทธิและโอกาสเท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริง กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้มักเผชิญกับอุปสรรคและความไม่เข้าใจ รวมถึงถูกตีตราว่าเป็น ‘ภาระ’ หรือ ‘ปัญหา’ ของสังคม โดยเฉพาะในเรื่องพื้นที่อยู่อาศัย การศึกษา การเข้าถึงบริการของรัฐ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม
กลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากยังคงถูกจำกัดพื้นที่ทางเลือกในการใช้ชีวิตและพัฒนาตนเอง ถูกกำหนดหรือจำกัดโดยมาตรการต่าง ๆ จากรัฐ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน อุทยานแห่งชาติ หรือระเบียบการพิสูจน์ตัวตน ซึ่งทำให้การเข้าถึงสิทธิพื้นฐานและการพัฒนาชีวิตของพวกเขาถูกจำกัด อีกทั้งหลายครั้งสื่อกระแสหลักและบางส่วนของสังคมก็มักมองว่ากลุ่มชาติพันธุ์คือผู้บุกรุกป่าไม้ ผู้ค้ายาเสพติด หรือผู้สร้างปัญหาอื่น ๆ ในขณะที่ข้อเท็จจริงคือพวกเขาเป็นผู้ดูแลทรัพยากรธรรมชาติมาอย่างช้านาน มีภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิถีชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ
การกีดกันหรือเหมารวมกลุ่มชาติพันธุ์ให้กลายเป็น “ภาระ” ส่งผลเสียต่อทัศนคติของสังคมโดยรวม ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ถูกคาดหวังหรือกดดันต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองตามนิยามของสังคมส่วนใหญ่ บางครั้งต้องละทิ้งภาษา ประเพณี หรือแม้แต่อัตลักษณ์ของตัวเอง เพื่อให้ได้รับการยอมรับ ทั้งที่ในความเป็นจริง กลุ่มชาติพันธุ์จำนวนไม่น้อยมีศักยภาพและทรัพยากรบางอย่างที่สามารถแบ่งปันและร่วมสร้างสังคมไทยให้มีความสมดุลและยั่งยืนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หลักการอยู่ร่วมกับป่า การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การผลิตสินค้าท้องถิ่น การทำเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงทัศนคติจากการมอง ‘กลุ่มชาติพันธุ์คือปัญหา’ มาเป็น ‘กลุ่มชาติพันธุ์คือผู้มีศักยภาพ’ คือจุดเริ่มต้นสำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืน กลุ่มชาติพันธุ์ควรได้รับการยอมรับและเปิดพื้นที่ให้พวกเขาสามารถพัฒนาศักยภาพและตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง โดยไม่ถูกคาดหวังให้เหมือนคนส่วนใหญ่หรือถูกกดดันให้ยอมแพ้ต่อค่านิยมหลักของสังคม การให้พื้นที่นี้ หมายรวมถึงทั้งพื้นที่ทางกายภาพ (เช่น การจัดสรรที่ดิน การรับรองสิทธิในที่อยู่อาศัย) พื้นที่ทางวัฒนธรรม (การเคารพภาษา ศาสนา ความเชื่อ) และพื้นที่ทางสังคมและการเมือง (โอกาสในการแสดงความคิดเห็น มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการชุมชนหรือท้องถิ่น)
นอกจากนี้ ควรมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในรูปแบบที่พวกเขาเลือกเอง ไม่ใช่แค่เพียงการมอบความช่วยเหลือตามรูปร่างของรัฐหรือองค์กรช่วยเหลือ เพราะการพัฒนาอย่างแท้จริงต้องมาจากการรับฟัง เข้าใจ และเคารพอัตลักษณ์และตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ใช่การป้อนแบบจำลองสำเร็จรูปจากภายนอก การให้พื้นที่กับกลุ่มชาติพันธุ์จึงไม่ใช่เพียงแต่ให้ความช่วยเหลือเชิงกายภาพ แต่เป็นการยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง เช่น การสนับสนุนให้เด็กในกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการศึกษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและภาษาแม่ การยอมรับผู้นำชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรของท้องถิ่น หรือการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรกับชุมชนภายนอก
สุดท้ายนี้ หากสังคมไทยเลือกที่จะเปลี่ยนมุมมองและเปิดพื้นที่ให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้พัฒนาตัวเอง องค์ความรู้ วิถีชีวิต และประสบการณ์ของพวกเขาจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมที่เท่าเทียมและยั่งยืน ไม่เพียงแต่เป็นคุณค่าของชุมชนชาติพันธุ์ แต่ยังเป็นคุณค่าของประเทศชาติร่วมกันอีกด้วย เพราะความหลากหลายและการเคารพสิทธิในอัตลักษณ์ของกันและกัน คือรากฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตยและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ผลงานของ SDGs Young Creator จากทีมยั่งยืนเลยล่ะ