ตอนสุดท้ายของการสรุปเทรนด์โลก ทิศทางและความสำคัญของการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศในอุตสาหกรรมบริการจากงานสัมมนา “ปลดล็อกการลงทุนสำหรับโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยืดหยุ่น” อ่านบทความตอนที่ 1 ได้ที่นี่ อ่านบทความตอนที่ 2 ได้ที่นี่
สำหรับตอนนี้ เราจะพูดถึงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมบริการโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม และเครื่องมือที่คนทำธุรกิจสามารถใช้วิเคราะห์ ประเมิน รวมถึงสร้างแผนการรับมือกับความเสี่ยงเหล่านั้นได้
ไม่ว่าจะเป็น Destination Water Risk Index (DWRI) ดัชนีประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับน้ำของพื้นที่ต่างๆ เพราะน้ำคือทรัพยากรที่สำคัญต่อธุรกิจภาคบริการ แต่ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทำให้พื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำมีมากขึ้น โรงแรมจึงต้องยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงของธุรกิจ
Building Resilience Index ดัชนีความยืดหยุ่นของอาคาร เนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรงแรมจึงต้องวางแผนออกแบบ ก่อสร้าง และปรับปรุงให้อาคารมีความยืดหยุ่น ทนต่ออันตรายทางธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศแปรปรวน โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยธรรมชาติ
ซีรีย์งานเสวนา “ปลดล็อกการลงทุนสำหรับโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยืดหยุ่น” เป็นความร่วมมือของ Sustainable Hospitality Alliance และ International Finance Corporation (IFC) ในเครือของธนาคารโลก เพื่อสนับสนุนให้โรงแรมทำธุรกิจโดยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน สามารถฟังงานเสวนาเต็มได้ที่นี่
01 น้ำสำคัญต่อธุรกิจท่องเที่ยวอย่างไร?
น้ำคือแหล่งทรัพยากรพื้นฐานของทุกอย่างบนโลก แต่ปัจจุบันการขาดแคลนน้ำคือปัญหาขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 2 พันล้านคน โดยวิกฤตินี้จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากการคาดการณ์ว่าในปี 2030 ความต้องการใช้น้ำ (demand) จะเกินความสามารถในการจัดหาน้ำ (supply) ถึง 40 เปอร์เซ็นต์
ความเสี่ยงด้านน้ำยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจทั่วโลก รวมถึงอุตสาหกรรมในภาคบริการเพราะน้ำมีความสำคัญทั้งต่อการจัดเตรียมอาหาร การทำความสะอาด ตลอดจนระบบทำความร้อนและความเย็นในโรงแรม
ในภาพที่ใหญ่ขึ้นของการดำเนินธุรกิจ การขาดแคลนน้ำส่งผลกระทบโดยตรงในด้านการเงิน เช่น วิกฤติขาดแคลนน้ำซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อระดับน้ำในเขื่อนลดลงตั้งแต่ปี 2015 จนถึงจุดย่ำแย่ที่สุดซึ่งมีน้ำเหลืออยู่เพียง 14-29 เปอร์เซ็นต์ของเขื่อนในปี 2017 และ 2018 ในเวลานั้นรัฐบาลท้องถิ่นจึงต้องออกมาตรการลดการใช้น้ำของเมืองในแต่ละวันลงมากกว่าครึ่ง
การระงับการใช้น้ำส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ต้องหยุดชะงัก วิกฤติขาดแคลนน้ำดังกล่าวส่งผลให้ภูมิภาคต้องเสียรายได้จากอุตสาหกรรมบริการถึง 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บทเรียนจากแอฟริกาใต้ทำให้ทั่วโลกเห็นถึงความสำคัญของการจัดการปัญหาการขาดแคลนน้ำระยะยาว ตลอดจนการบริโภคอย่างรับผิดชอบของทุกภาคส่วน
ทุกพื้นที่ในโลกมีโอกาสประสบกับสภาวะขาดแคลนน้ำ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ประสบอยู่ในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมบริการก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายจุดหมายปลายทางทั่วโลก ดังนั้นมันจึงสำคัญมากที่คนทำธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความยืดหยุ่นและทนทาน (climate resilience) ต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ (climate risk) ตลอดจนผลกระทบที่ธุรกิจส่งผลต่อชุมชนท้องถิ่น
02 Action ด้านน้ำที่ธุรกิจของคุณทำได้ทันที
เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมในภาคบริการให้ตระหนักต่อความสำคัญด้านน้ำ Sustainable Hospitality Alliance เครือข่ายพันธมิตรโรงแรมกว่า 50,000 แห่งทั่วโลก ได้ทำการวิจัย Destination Water Risk Index (DWRI) ร่วมกับ Ecolab ผู้นำด้านเทคโนโลยีน้ำ สุขอนามัย และพลังงาน รวมถึง Greenview บริษัทที่คำปรึกษาองค์กรด้านการบริการ และ STR ผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการตลาดสำหรับอุตสาหกรรมบริการ
โดย DWRI ได้ประเมินความเสี่ยงของจุดหมายปลายทาง 380 แห่ง ใน 63 ประเทศทั่วโลก ในแง่การเป็นพื้นที่น้ำตึงเครียด (water stress area) ซึ่งอุปทานน้ำไม่สามารถตอบสนองต่ออุปสงค์น้ำได้ โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความพร้อมใช้ของทรัพยากรน้ำ คุณภาพน้ำและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ กรอบการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ การเติบโตประชากร การท่องเที่ยว โรงแรมและความต้องการใช้น้ำ
ข้อมูลจากรายงานระบุว่า 13 เปอร์เซ็นต์ ของจุดหมายปลายทางทั้งหมดที่ได้รับการประเมินทั่วโลกมีความเสี่ยงด้านน้ำในระดับสูง และส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยเฉพาะ 4 เมือง ที่มีความเสี่ยงด้านน้ำในระดับสูงมาก อย่างเดลี ประเทศอินเดีย มัลดีฟส์ เมืองชิงเต่าและเมืองซีอาน ประเทศจีน
สิ่งที่ควรเกิดขึ้นนับจากนี้ คือการร่วมมือกันของอุตสาหกรรมบริการ เพื่อจัดการกับปัญหาการขาดแคลนน้ำในแต่ละท้องถิ่น โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและภาครัฐจำเป็นต้องดำเนินการเชิงรุกเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์วิกฤตน้ำที่มีโอกาสเพิ่มมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กล่าวไปข้างต้น
ปัจจุบันมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพหลายอย่าง ที่ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ในอาคาร เพื่อลดการใช้น้ำในขั้นตอนต่างๆ ของธุรกิจลงได้ เช่น สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำที่มีอัตราการไหลของน้ำต่ำกว่า หรือใช้น้ำน้อยลงต่อการล้างหนึ่งครั้ง ตลอดจนระบบการเก็บน้ำฝนและนำกลับมาใช้ใหม่
อ่านรายงานวิจัย Destination Water Risk Index ฉบับเต็มที่นี่ เพื่อทำความเข้าใจความเสี่ยงเกี่ยวกับน้ำ และการมีส่วนร่วมที่ธุรกิจโรงแรมสามารถทำร่วมกับชุมชนท้องถิ่น รวมถึงแนวทางปฏิบัติที่ธุรกิจของคุณทำได้ทันทีเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ
03 สร้างแต้มต่อให้ธุรกิจด้วย Green & Resilient Building
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบมหาศาลต่อธุรกิจในอุตสาหกรรมบริการและการท่องเที่ยว
ทุกวันนี้ 40 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโลก เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานภายในอาคาร และอาคารทั่วโลกจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2060
ดังนั้นมันจึงสำคัญมากที่เราจะต้องผลักดันให้อาคารเกิดใหม่ในพื้นที่ต่างๆ เป็นอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green building) ที่ลดการใช้พลังงานและเป็นอาคารที่มีความยืดหยุ่น (resilient building) ซึ่งทนต่ออันตรายทางธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศแปรปรวนได้ โดยสามารถดำเนินกิจการต่อไปโดยไม่หยุดชะงักหลังจากภัยพิบัติอันตรายที่รุนแรง
ที่ผ่านมา IFC สถาบันการเงินในเครือของธนาคารโลกได้ขับเคลื่อนพาร์ทเนอร์การลงทุนให้สนับสนุนการสร้างอาคารหรืออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในโครงการด้านโรงแรมในตลาดเกิดใหม่ (emerging market) ของประเทศที่กำลังพัฒนา 95 ประเทศ
ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อภัยธรรมชาติ หลายอย่างเลวร้ายลงด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันตรายเหล่านี้รวมถึงน้ำท่วม แผ่นดินไหว คลื่นพายุ ภัยแล้ง ภูเขาไฟระเบิด และอื่นๆ อีกมากมาย
เจ้าของธุรกิจ ธนาคาร บริษัทประกัน ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐสามารถใช้ Building Resilience Index ในการประเมิน ปรับปรุง และเปิดเผยความยืดหยุ่นของโครงการอสังหาริมทรัพย์หรือพอร์ตการลงทุนของตนได้
ปัจจุบัน IFC กำลังดำเนินโครงการนำร่องผลักดันพื้นที่อาคาร 1 ล้านตร.ม. ในประเทศฟิลิปปินส์ให้ทนทานต่อภัยธรรมชาติ เนื่องจากฟิลิปปินส์เป็นจุดที่อันตรายทางธรรมชาติเนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และรัฐที่เป็นหมู่เกาะ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพายุไต้ฝุ่นส่วนใหญ่ และตั้งอยู่บนแนววงแหวนแห่งไฟในมหาสมุทรแปซิฟิก
สามารถอ่านรายละเอียดและทำความเข้าใจ Green & Resilient Building เพิ่มเติมได้ที่นี่
รายละเอียดเพิ่มเติม
Sustainable Hospitality Alliance (SHA) ได้เปิดตัวกลยุทธ์ระยะเวลา 5 ปี Pathway to Net-Positive Hospitality ที่จะแปลงไปสู่การปฏิบัติจริง ผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ รวมถึงการกำหนดมาตรฐานมาตรวัดความยั่งยืนทั่วทั้งอุตสาหกรรมบริการ กลยุทธ์นี้ใช้แนวทางแบบองค์รวมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับอุตสาหกรรมดำเนินการโดยคำนึงถึงการสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่สิ่งแวดล้อม ชุมชน และเศรษฐกิจมากกว่าผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้น
เจ้าของและผู้บริหารธุรกิจโรงแรมที่ต้องการศึกษารายละเอียดของแต่ละขั้นตอน เพื่อเริ่ม Climate Action อย่างเป็นรูปธรรม สามารถศึกษา Pathway to Net Positive Hospitality ได้ที่นี่