UNGCNT - กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ - UNDP จัดเวทีระดับชาติด้านสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 8 ส่งเสริมห่วงโซ่อุปทาน ปราศจากคอรัปชั่น

UNGCNT News


สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (
UNGCNT) ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) จัดการประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 8 ภายใต้ประเด็น “การส่งเสริมห่วงโซ่อุปทาน ที่ปราศจากคอรัปชั่น เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิแรงงาน” เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะ การจัดการความเสี่ยงจากการทุจริต ที่อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิแรงงาน และแสวงหาแนวทางความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อปกป้องสิทธิของแรงงานให้ดียิ่งขึ้น  โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในงาน  มีผู้สนใจจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้าร่วมงานมากกว่า 100 คน        

 

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวขอบคุณองค์กรพันธมิตรที่ร่วมกันจัดการประชุมฯ หัวข้อ "การส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานที่ปราศจากการคอร์รัปชัน เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิแรงงาน" ซึ่งได้จัดขึ้นในห้วงเวลาที่มีความเหมาะสม เนื่องจากวันที่ 9 ธันวาคม เป็นวันต่อต้านการทุจริตสากลอีกทั้งหัวข้อการประชุมฯ ซึ่งเน้นย้ำความสำคัญของการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นในมิติแรงงาน ยังมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตของคนรุ่นหลัง การพูดถึง การส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานที่ปราศจากการคอร์รัปชัน เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิแรงงาน จะมีความหมายถึงแรงงานทุกระบบ ซึ่งประเทศไทยถ้านำนิยามสากลมาใช้เราจะมีผู้ว่างงานเพียง 4.14 แสนคน ที่ถือว่าน้อยมาก ส่วนตัวเห็นว่าเพราะมีแรงงานนอกระบบและอาชีพอิสระจำนวนมาก รวมถึงมีสัดส่วนธุรกิจนอกระบบจำนวนมากด้วยจึงเป็นเรื่องท้าทายรัฐบาลที่ต้องเข้าไปดูแลและยากต่อการคุ้มครองสิทธิแรงงาน"

พันตำรวจเอกทวี กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้หลักประชาธิปไตย หลักสิทธิมนุษยชน และหลักนิติธรรม เพื่อนำไปสู่ความยุติธรรมอย่างแท้จริง การจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน จึงถือเป็นกรอบนโยบายของรัฐบาลที่สะท้อนความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่มีความร้บผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรม

 

ด้านนางนีฟ คอลิเออร์-สมิธ  ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNDP) กล่าวว่าแม้ประเทศไทยจะโดดเด่นในการดำเนินงานด้านสิทธิมนุยชน แต่ก็ต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่องในการต่อสู้กับการทุจริตคอรัปชั่น โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุปทานที่การคอร์รัปชั่น มักจะขัดแย้งกับการละเมิดสิทธิแรงงาน ตัวอย่างเช่น การจัดหางานที่ไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่การบังคับใช้แรงงาน ในขณะที่การติดสินบนในการตรวจสอบ  ทำให้ยังคงมีสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย ปัญหาเหล่านี้บ่อนทำลายความก้าวหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) หลายประการ อาทิ SDG8 งานที่มีคุณค่า SDG10 ความไม่เท่าเทียมกันที่ลดลง SDG12 การบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ และ SDG16 สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง พร้อมทั้งได้ยกตัวอย่าง “Agents of Change” โครงการริเริ่มของ UNDP ที่ร่วมมือกับสหภาพยุโรป มุ่งหวังที่จะส่งเสริมเยาวชนและสื่อให้ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ส่งเสริมบทบาทของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงนักปกป้องรุ่นเยาว์และผู้สื่อข่าว อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนเหล่านี้มักจะเผชิญกับความเสี่ยง การคุกคาม และการฟ้องร้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องจัดการกับประเด็นแรงงานและการทุจริต

 “การจัดการกับความเสี่ยงเรื่องการทุจริตและสิทธิแรงงานในห่วงโซ่อุปทาน ถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน โดยต้องอาศัยความพยายามร่วมกันของรัฐบาล ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และหุ้นส่วนระหว่างประเทศ” นางนีฟ คอลิเออร์-สมิธ  กล่าว

 

ขณะที่ ดร. เนติธร ประดิษฐ์สาร เลขาธิการและกรรมการบริหาร UNGCNT กล่าวย้ำว่าความเสี่ยงเกี่ยวกับการกระทำทุจริตกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน  จะเป็นอุปสรรคต่อการยกระดับห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและรับผิดชอบของธุรกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย  หากเราไม่สามารถจัดการได้ จะเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030  ดร. เนติธร ยังได้เสนอ 4 มาตรการการจัดการความเสี่ยงด้านการทุจริตและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการจัดหางานและการจ้างงานแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ มาตรการด้านนโยบาย โดยเฉพาะ ในกระบวนการจัดหางาน การขอใบอนุญาตทำงาน การขอ VISA  โดยออกแบบมาตรการเหล่านี้ให้สะดวก ปลอดภัย และประหยัดต้นทุนและเวลาต่อทั้งแรงงานและภาคธุรกิจ การส่งเสริมหลักการ การจัดหางานอย่างมีจรรยาบรรณ (Ethical Recruitment) ให้นำไปใช้ในกลุ่มบริษัทจัดหางาน ทั้งในและนอกประเทศโดยต้องมีกลไกการตรวจสอบ และการรับเรื่องร้องทุกข์ที่โปร่งใสเข้าถึงได้ การใช้เทคโนโลยี รวมถึง AI หรือ Blockchain เพื่อลดช่องว่างและความเปราะบางในการแสวงหาประโยชน์จากผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น การใช้เทคโนโลยีในการแจ้งรายงานตัว 90 วัน รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึง การตรวจสอบสถานะสิทธิมนุษยชนรอบด้าน การรายงานผลการดำเนินงาน เพื่อให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเปิดเผยผลการดำเนินการตามหลักการชี้แนะสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนได้อย่างสะดวก และประหยัดงบประมาณ

“การส่งเสริมการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และยกระดับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ไม่อาจเกิดขึ้นได้  หากปราศจากการดำเนินงานร่วมกันอย่างจริงจัง เข้มแข็ง และมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกันที่เป็นรูปธรรม วัดผลได้ ”  ดร เนติธร กล่าว

 

หลังพิธิเปิด  ดร. เสรี นนทสูติ กรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "ความเชื่อมโยงของการทุจริตในห่วงโซ่อุปทานและความเสี่ยง ด้านสิทธิแรงงาน" โดยชี้ให้เห็นว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน ตั้งแต่การเข้าถึงการศึกษา การทำงาน ไปจนถึงการมีสุขภาพที่ดี เพราะการทุจริตทำให้ทรัพยากรที่จำเป็นในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ลดน้อยลง และส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคม ดังนั้น นอกจาก Compliance หรือปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนดไว้ องค์กรธุรกิจภาคธุรกิจในวันนี้ต้อง Beyond Compliance หรือขยายขอบเขตความรับผิดชอบไปสู่การดูแลห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด โดยให้ความสำคัญกับคู่ค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence) เพื่อระบุ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน โดยมีขั้นตอนสำคัญ คือ การระบุความเสี่ยง ตรวจสอบว่ามีโอกาสเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในส่วนใดของห่วงโซ่อุปทานบ้าง
การป้องกัน โดยกำหนดนโยบายและมาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนการแก้ไข หากเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้น และการรายงานผล การดำเนินงานเกี่ยวกับการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างโปร่งใส

ต่อด้วย การเสวนา ในหัวข้อ "การส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานที่ปราศจากการคอร์รัปชัน เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิแรงงาน" โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่
คุณแก้วใจ สัจจะเวทะ ผู้อำนวยการสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงแรงงาน คุณปิยนุช จันทนสุคนธ์ นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการและนวัตกรรมด้านการป้องกัน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) คุณณพวุฒิ ประวัติ ผู้ประสานงานโครงการห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น ครอบคลุม และยั่งยืน (RISSC) ในประเทศไทย องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) คุณนิธิพัศ นันทวโรภาส ผู้จัดการฝ่าย สำนักความร่วมมือระหว่างประเทศด้านความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ วงเสวนานี้ ชี้ให้เห็นความสำคัญของการร่วมมือกัน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างๆ ในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสและเป็นธรรม โดยมีข้อเสนอแนะสำคัญ คือ การปรับปรุงกฎหมายแรงงานให้ทันสมัย การสร้างมาตรฐานร่วมกัน และการส่งเสริมการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้นสำหรับแรงงานทุกคน

 
ตัวแทนกระทรวงแรงงาน ย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานสากล และการแก้ไขปัญหาเรื่องสภาพการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรมและสภาพการทำงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นประเด็นร้องเรียนที่พบมากที่สุด  ขณะที่ตัวแทน ป.ป.ท. เผยข้อมูลสถิติคดีทุจริตที่เกี่ยวข้องกับภาคเอกชน เช่น
การเรียกรับสินบน และการละเมิดสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะปัญหาแรงงานเงาและบัญชีม้า พร้อมทั้งเผยว่าขณะนี้ ป.ป.ท. ได้จัดทำข้อเสนอแนะแนวทางป้องกันกรณีการจ้างแรงงานเท็จ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการฯ และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อออกมาตรการบังคับใช้ต่อไป  ตัวแทน ILO ชี้ว่าปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายหรือแนวปฏิบัติด้าน HRDD ที่สามารถบังคับใช้ได้ทั่วโลกหรือทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน แต่ในหลายประเทศมีการบังคับใช้กฎหมาย HRDD ในห่วงโซ่อุปทานในประเทศหรือภูมิภาคของตน ภายใต้หลักการเดียวกัน คือ ป้องกัน แก้ไข และเยียวยา จึงอยากให้ภาครัฐปรับปรุงกฎหมายด้านแรงงานให้สอดคล้องกับบริบทของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งควรส่งเสริมให้มีการส่งต่อความรู้ระหว่างกันของภาคธุรกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมให้อุตสาหกรรมไทยมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น ตัวแทนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์  เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีผู้นำที่มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และการตรวจสอบคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งมีการจัดระบบจัดหาแรงงานข้ามชาติ ซึ่งมีความเสี่ยงและมีความเปราะบาง อย่างมีจริยธรรม โดยตั้งมาตรฐานและตรวจสอบบริษัทจัดหาแรงงานว่าต้องปฏิบัติตามมาตรฐานสิทธิแรงงานที่กำหนด

 “ซีพีมีซัพพลายเออร์กว่า 40,000 ราย ซึ่งเชื่อว่าซ้ำกับบริษัทอื่น ถ้าเราหาวิธีร่วมมือกัน สร้างมาตรฐานและตรวจสอบร่วมกัน ผ่านองค์กรกลาง อย่างโกลบอลคอมแพ็กหรือ UNGCNT จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบการทุจริตและสิทธิแรงงาน  รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของภาคธุรกิจในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน” คุณนิธิพัศ กล่าวทิ้งท้าย

ร่วมเปลี่ยนแปลงโลกกับเรา
UN Global Compact
Network Thailand
APPLY FOR MEMBERSHIP
เกี่ยวกับคุกกี้บนเว็บไซต์นี้
เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ เราใช้คุกกี้เพื่อเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพ และการใช้งานของเว็บไซต์เพื่อปรับปรุง ปรับแต่งเนื้อหา และโฆษณาตามความต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม และพัฒนาประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้ใช้ เงื่อนไขการใช้งานเว็บไซต์ และ นโยบายสิทธิส่วนบุคคล
Subscribe
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
คุณสามารถปรับแต่งการตั้งค่าคุกกี้ในแต่ละประเภทได้ดังต่อไปนี้
จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่จำเป็นต่อการให้บริการ
(Strictly Necessary Cookies)
เปิดใช้งานตลอดเวลา
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการบนเว็บไซต์ของเรา ซึ่งรวมถึงคุกกี้ที่จะช่วยให้ท่านสามารถเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยของเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้เพื่อการวัดผลการทำงานและฟังก์ชันการทำงานของเว็บไซต์
(Performance and Functionality Cookies)
คุกกี้ประเภทนี้จะถูกใช้เพื่อจดจำท่านเมื่อท่านกลับเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราอีกครั้ง ช่วยให้เราปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับท่านและจดจำการตั้งค่าของท่าน (เช่น ภาษาหรือภูมิภาคที่ท่านเลือก) แต่ไม่จำเป็นต่อการวัดผลการทำงานของเว็บไซต์
คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์หรือเพื่อการปรับแต่ง
(Analytical or Customization Cookies)
คุกกี้ประเภทนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการที่ผู้ใช้งานเข้าสู่เว็บไซต์และออกจากเว็บไซต์ เราใช้ข้อมูลนี้ในลักษณะของข้อมูลโดยรวมเพื่อช่วยให้เราปรับปรุงวิธีการทำงานของเว็บไซต์ หรือเพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ของเราตามความสนใจของท่านได้