หัวข้อเสวนานี้พูดถึงความสำคัญของทุนมนุษย์ (Human Capital) ในการพัฒนาองค์กรและสังคม โดยเน้นถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาทุนมนุษย์ ผ่านการแบ่งปันทรัพยากร ความรู้ และประสบการณ์ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและผลลัพธ์ที่ยั่งยืน พร้อมยกตัวอย่างความร่วมมือที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งแสดงวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านทุนมนุษย์เพื่อสร้างธุรกิจที่ครอบคลุม (Inclusive Business) และสังคมที่เท่าเทียม ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว
ผู้ร่วมเสวนา
ดำเนินรายการ โดย
คุณพินิจ จันทรังสี
ที่ปรึกษาระดับภูมิภาค องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
ก้าวสำคัญของการพัฒนา “ทุนมนุษย์” สู่การสร้างสังคมอย่างเท่าเทียม จำเป็นต้องเน้นถึงความสำคัญของการร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพราะถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนา ผ่านการแบ่งปันทรัพยากร ความรู้ ประสบการณ์ เพื่อสร้างศักยภาพ และผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
องค์กรสมาชิกของ UNGCNT พยายามขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจยั่งยืน ที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วม สร้างความเติบโตให้กับองค์กรธุรกิจ ควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม เพื่อทำให้สังคมไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั่วถึงและเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรม วัดผลได้ ตลอดจนร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ให้ก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมายโดยเร็วที่สุด
“เซ็ปเป้” ลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ สู่องค์กรยั่งยืน
คุณปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเซ็ปเป้ เป็นองค์กรเล็กๆ ที่มีพันธกิจว่า “เราจะทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น ผ่านจิตวิญญาณที่สร้างสรรค์ของเรา” เซ็ปเป้จึงได้นำเรื่องของความยั่งยืนเข้ามาอยู่ในห่วงโซ่คุณค่า(Value Chain) ขององค์กร ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม เพราะคิดอยู่เสมอว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการทำให้ชุมชนรอบๆ พนักงาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย คู่ค้ามีเศรษฐกิจที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี และช่วยสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด
“การที่เราทำเรื่องความยั่งยืนจะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คน พนักงาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย คู่ค้า ดีขึ้น เติบโตขึ้นไปพร้อมกับเซ็ปเป้” คุณปิยจิตกล่าว
คุณปิยจิต กล่าวต่อว่า เซ็ปเป้ เป็น innovative spirits ซึ่งการจะเป็นเช่นนั้นได้ อย่างแรกต้องเปิดใจกว้างสำหรับตนเอง และต้องส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนที่สำคัญของเราให้เติบโตไปด้วยกัน โดยได้เน้นย้ำการให้ความสำคัญเรื่องความเท่าเทียมและความหลากหลายในทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย โดยเริ่มต้นตั้งแต่การมองว่า “คนเป็นแกนกลางขับเคลื่อนองค์กร” เราจะทำอย่างไรให้กระดุมเม็ดแรกติดอย่างถูกต้อง นั่นหมายความว่า ต้องให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคนทำงานให้สอดคล้องกับค่านิยมขององค์กร (Core Value) ซึ่งมี 5 ด้าน คือ Integrity for Sustainability , Dynamic with Speed and Never Give Up, Experimental Creativity, Fun Teamwork และ Do The Impossible
พัฒนาทักษะ สร้างเวทีปลดปล่อยศักยภาพ
เซ็ปเป้ ยังพยายามทำให้องค์กรเป็นพื้นที่เปิดกว้างที่ทุกคนสามารถระดมสมอง หรือพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้ โดยเรียกออฟฟิศว่า Playground หรือสนามเด็กเล็ก เรียกพนักงานว่า Players และพยายามให้ Players ได้มาเล่นด้วยกัน เปิดอิสระให้ทุกคนสามารถคิดสร้างสรรค์ และพัฒนาบุคลากรในทุกองค์ประกอบทั้ง Hard Skills, Soft Skills และ Well Being สร้างเวทีให้ทุกคนปลดปล่อยศักยภาพอย่างเท่าเทียม สนับสนุนทุกความหลากหลาย ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม สร้างความแข็งแรงจากภายในไปนอกองค์กร เพราะเชื่อว่า หากแกนกลางของธุรกิจ คือคนในองค์กร มีความเป็นอยู่ที่ดี และได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง รวมทั้งเปิดโอกาสให้ได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน จะสามารถคิดค้นและนำผลิตภัณฑ์ที่ดีส่งมอบไปสู่ผู้คนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีการอบรมกว่า 60 โปรแกรมที่ติดอาวุธให้แก่ Players สามารถไปแข่งขันกับผู้อื่นให้ได้ ยิ่งในยุคที่มี AI เข้ามาทุกอย่างเร็วมาก ต้องรู้ทัน เท่าทัน และทำทัน ซึ่งทุกๆ โปรแกรมจะมีการวัดประเมินผลว่าเหมาะสมกับ Players และนำไปใช้ได้จริงหรือไม่ รวมถึงมีกิจกรรมพิเศษส่งเสริมให้พนักงานได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ร่วมกัน
ในส่วนของลูกค้า เซ็ปเป้ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเกษตรกร เช่น เครืองดื่มที่ใส่วุ้นมะพร้าว และยกระดับสินค้าไทยไปขายทั่วโลก รวมทั้งออกแคมเปญที่สื่อสารกับสังคม เรื่องความเท่าเทียมและความหลากหลายอย่างชัดเจน แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการผลักดันและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคมในเรื่องนี้
“การศึกษา” เครื่องมือของคนรุ่นใหม่
การเตรียมพร้อมให้แก่คนรุ่นต่อไป ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ คือประเด็นที่หัวเรือใหญ่ด้านความยั่งยืนของ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เน้นย้ำในเวทีเสวนานี้ โดย ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ กล่าวว่าข้อมูลสถิติจากรายงานของสหประชาชาติในปี 2566 ว่าโลกมีความเหลื่อมล้ำ ผู้คน 724 ล้านคนยังยากจน 735 ล้านคนต้องอดอยากหิวโหย อีกกว่า 1,000 ล้านคนอาศัยอยู่ในสลัม และเด็กกว่า 250 ล้านคนต้องออกจากโรงเรียน จึงมีความจำเป็นที่ภาคเอกชนจะต้องมีส่วนร่วมช่วยลดความเหลื่อมล้ำนี้
“ภาคเอกชนนับว่ามีบทบาทสำคัญในการร่วมแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่มีหลายเรื่องที่อาจแก้ไขไม่ได้ในเจนเนอเรชั่นเรา สิ่งที่ท้าทาย สำหรับวันนี้ คือ การส่งมอบเครื่องมือให้คนรุ่นใหม่ร่วมแก้ไขปัญหา โดยปลูกฝังเรื่องความยั่งยืนเข้าสู่ระบบ การศึกษา” ดร. ธีระพล กล่าว
ดร. ธีระพล ย้ำว่าจำเป็นต้องบูรณาการความยั่งยืน เข้ากับการดำเนินธุรกิจหลักด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะแห่งอนาคต (Future Skill) ให้กับบุคลากร โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีระบบเศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นฐานการผลิต ซึ่งแรงงานมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าธุรกิจจะตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีเพียงใด เรื่องการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ เพื่อตอบรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต จึงนับเป็นความท้าทายอย่างมาก
5 ด้านขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน
ดร.ธีระพล ฉายภาพให้เห็นว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้กำหนดกรอบการดำเนินงานไว้ชัดเจน เรียกว่า 3 Hs คือ Heart Health และ Home ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการจะทำให้เกิดขึ้นได้จริงนั้น ต้องมี 5 เรื่องหลักเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน
เรื่องแรก ความโปร่งใส (Transparency) ด้วยการกำหนดเป้าหมายความยั่งยืนและสื่อสารให้ชัดเจน โดยสะท้อนถึงกลยุทธ์ระยะยาว สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ระดับโลก และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ โดยจะต้องรายงาน ความคืบหน้าให้สาธารณชนได้รับรู้อย่างสม่ำเสมอ
เรื่องที่สอง การสร้างเครือข่ายตลาด (Market Mechanism) เพื่อเชื่อมโยงภาครัฐและเอกชนให้ร่วมมือกัน ตาม SDGs ข้อ 17 ‘Partnerships for the Goals’ ยกตัวอย่าง CONNEXT ED ที่ก่อตั้งโดยเครือฯ ร่วมกับสภาดิจิทัลแห่งประเทศไทย ที่มีแดชบอร์ดรายงานและแสดงผลการปฏิบัติงานเทียบกับเป้าหมาย สำหรับโรงเรียนทั่วประเทศไทย
เรื่องที่สาม การพัฒนาผู้นำและผู้มีความสามารถพิเศษ (Leadership and Talents) พนักงานทุกระดับได้รับการสนับสนุนให้แสวงหาการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยตั้งเป้าหมายว่า 40% ของพนักงานของเครือฯ จะต้องมีทักษะดิจิทัลขั้นสูงภายในปี 2569 และยังได้ก่อตั้งสถาบันผู้นำซีพี (CPLI) ที่เขาใหญ่ เพื่อส่งเสริม 'ผู้นำรุ่นใหม่' ด้วย
เรื่องที่สี่ การเสริมพลัง (Empowerment) ส่งเสริมให้มีการทำงานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนความคิดริเริ่มต่างๆ เช่น CP Seeding Social Impact ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การขยายเครือข่ายพันธมิตร SME เพื่อนำผลประโยชน์ที่จับต้องได้มาสู่ชุมชนของตน
เรื่องสุดท้ายที่มีความสำคัญอย่างมาก คือ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology & Innovation) ที่ศูนย์ความเป็นเลิศ ศูนย์การเรียนรู้ และการลงทุนเริ่มต้นหลายแห่งภายในเครือฯ จะมุ่งเน้นการบ่มเพาะผู้มีความสามารถมีความคิดสร้างสรรค์ที่จำเป็นในการขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัล
นอกจากการขับเคลื่อนเครือฯ สู่องค์กรยั่งยืน ดร.ธีระพล ได้สรุปย้ำถึง ความสำคัญของการเตรียมเครื่องมือและความรู้ที่จำเป็นแก่คนรุ่นต่อไป เพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลกและรับประกันอนาคตที่ยั่งยืนและเสมอภาคมากขึ้น เช่นเดียวกับภาคการศึกษา ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายมากมาย จึงต้องสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมขับเคลื่อนอนาคต โดยเสนอโอกาสในการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ (Action-based Learning)
บริการทางการเงิน เพิ่มธุรกิจสีเขียว
ปิดท้ายด้วย คุณเชา วง ยวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืน ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย (มหาชน) เปิดเผยว่า
ยูโอบี ได้ประกาศเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) บนพื้นฐานของความต้องการการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ที่ยังคงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม และเดินหน้าร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการบ่มเพาะให้ลูกค้าและธุรกิจก้าวสู่เส้นทางความยั่งยืนไปด้วยกัน และมองว่าหากมีการปล่อยกู้ให้แก่ธุรกิจสีเขียวมากขึ้น เท่ากับธนาคารเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียวให้เกิดขึ้นได้จริง
“ยูโอบีต้องการมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ด้วยการให้สินเชื่อธุรกิจสีเขียว โดยคำนึงถึงปัจจัย 6 ประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง โอกาสด้านความยั่งยืน การจัดการความเสี่ยงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน CBAM ของยุโรป การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย ความปลอดภัย และความต้องการของนักลงทุนเกี่ยวกับ ESG หรือสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ทั้งหมดนี้จะต้องยั่งยืนได้ ต้องสร้างรากฐานที่การพัฒนาคนของยูโอบี ที่ต้องเข้าใจเรื่องความยั่งยืน เพื่อให้มีความสามารถที่จะช่วยนำพาลูกค้าและพาร์ทเนอร์ให้เข้าสู่เส้นทางความยั่งยืน หรือส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจสีเขียวมากขื้น” คุณเชาวง ยวน กล่าว
สร้างบุคลากรมืออาชีพ ด้านความยั่งยืน
ยูโอบี กำหนดให้ “การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน” และ “การสร้างบุคลากรผู้ชำนาญการ” เป็นกลยุทธ์หลักด้านความยั่งยืน โดยวิธีการที่จะสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนของยูโอบี จะต้องพัฒนาทุนมนุษย์ หรือพนักงานขององค์กรและผู้เกี่ยวข้อง ให้มีทักษะและวิธีคิดแบบมืออาชีพ รวมทั้งมีความสามารถที่จะช่วยนำพาลูกค้าและพาร์ทเนอร์ให้เข้าสู่เส้นทางความยั่งยืน โดยจัดให้มีหลักสูตร อบรมเรื่องนี้ให้พนักงานได้พัฒนาความรู้ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) รวม 6 หลักสูตต่อปี และมีกิจกรรมให้พนักงานทุกกลุ่มเข้าร่วม ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง จนถึงพนักงานทุกคน รวมทั้งเชิญชวนครอบครัวพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมด้วย ยกตัวอย่าง เรื่องง่ายๆ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น การบริหารจัดการขยะ เพื่อเชื่อมโยงให้ทุกคนทุกระดับเข้ามาร่วมทำกิจกรรมด้านความยั่งยืน เป็นการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนซึ่งเป็นเป้าหมายของธนาคาร นอกจากนี้ ยังมีโครงการให้ความรู้ด้านการเงินที่ยั่งยืนสำหรับเยาวชน ที่เรียกว่า ‘UOB Money 101’ ในรูปแบบหลักสูตรดิจิทัล พร้อมสื่อการสอนและคู่มือใช้งาน สำหรับโรงเรียนที่ยังขาดโอกาสและต้องการการสนับสนุนทางการศึกษา โครงการนี้มุ่งสร้างทักษะความรู้และภูมิคุ้มกันด้านการเงินให้กับนักเรียนทั่วประเทศ เพื่อลดช่องว่างทางการศึกษาให้เด็กเข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ด้านการเงิน
ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดตามรับชมเวทีสัมมนาหัวข้อที่ 2 ย้อนหลังได้ทาง www.youtube.com/@GlobalCompactNetworkThailand
และติดตามรับชมไฮไลท์ได้ทาง https://www.tiktok.com/@ungcnt